24 เม.ย.61 นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบพาร์ทเนอร์ชิพ สคูล (Partnership School) ครั้งที่ 4/2561 หรือโรงเรียนร่วมพัฒนา เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ได้หารือถึงรายละเอียดของความก้าวหน้าการดำเนินการ โดยที่ประชุมได้พิจารณารายชื่อโรงเรียนที่มีความพร้อมเข้าร่วมโครงการจากเดิมที่ประมาณการณ์ว่า จะมีโรงเรียนเข้าร่วม 77 แห่งทั่วประเทศ แต่เมื่อพิจารณาคุณสมบัติพบว่ามีโรงเรียนที่มีความพร้อมเข้าร่วมโครงการในเฟสแรกจำนวน 40 แห่ง ที่พร้อมจะเริ่มดำเนินการในปีการศึกษา 2561 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันยังมีบริษัทเอกชนอีกหลายแห่งที่แจ้งความจำนงขอเข้าร่วมโครงการในเฟส 2 อีกหลายโรงเรียน
ทั้งนี้ เฟสแรกนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ หากเราทำตรงนี้สำเร็จก็จะเป็นจุดที่จะนำไปขยายยังโรงเรียนอื่นๆ ในวันข้างหน้า โรงเรียนควรจะมีภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาดูแลบำรุงรักษาโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่ ศธ.เป็นเจ้าภาพเพียงส่วนเดียว ซึ่งวิธีนี้ ศธ.คิดไว้อยู่แล้ว แต่ทำยากเนื่องจากติดขัดเรื่องกฏระเบียบในการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องคน เรื่องเงิน ดังนั้น หากเราสร้างต้นแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็จะไปได้เร็ว เพราะต้องเรียนรู้ไปด้วย แก้ไขไปด้วย วิธีนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศจริง
รมช.ศธ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารรือการจัดทำแนวปฏิบัติรวมถึงข้อตกลงของโรงเรียนและภาคเอกชนที่จะเข้าร่วมจัดการศึกษาตามโครงการนี้จะต้องรับทราบว่า ใครรับผิดชอบอะไรและในส่วนใดในมิติต่างๆ โดยจะจัดทำเป็นคู่มือการดำเนินงาน ไกด์บุ๊คเพื่อให้ทุกส่วนปฏิบัติตาม โดยแนวปฏิบัติในภาพรวมที่จะต้องทำเหมือนกันทุกแห่ง
เบื้องต้นภาคเอกชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการริหารพัฒนาโรงเรียนโดยเฉพาะหลักสูตร 70 เปอร์เซ็นต์ รัฐกำหนด ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ภาคเอกชนสามารถปรับให้เข้ากับสิ่งที่เอกชนที่เข้ามาสนับสนุนต้องการ หรือปรับให้เป็นไปในทิศทางที่คณะกรรมการสถานศึกษากำหนดขึ้น ส่วนที่ภาคเอกชนมีความกังวลเรื่องงบประมาณ ตนขอยืนยันว่ารัฐบาลยังคงสนับสนุนงบให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการนี้เหมือนเดิมทุกอย่าง ทั้งงบปรับปรุงโครงสร้างโรงเรียนใหม่นี้ ส่วนทางภาคเอกชนจะท็อปอัพเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเรียน เช่น การจ้างครูพิเศษ หรือการจัดกิจกรรมพิเศษ หรือต้องการให้เงินท็อปอัพกับผู้อำนวยการโรงเรียน หรือครู ในแบบเงินพิเศษหรือเงินโบนัส ก็สามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้ เหมือนเป็นเจ้าของโรงเรียน แต่ฐานเงินเดือนจะกำหนดให้เท่ากัน ดังนั้น เราจะเขียนข้อตกลงไว้ รวมถึงโรงเรียนต้องส่งผลการประเมินให้กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่ออยู่ในระบบการประเมินของ สพฐ.ด้วย
"ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานวันที่ 30 เม.ย.นี้ คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Partnership School หรือโรงเรียนร่วมพัฒนา ก็จะนำวีดีโอเกี่ยวกับการดำเนินงานและรูปแบบของโรงเรียน ที่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ นำมาฉายเป็นรายงานให้นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงความคืบหน้าของโครงการนี้ด้วย และในวันดังกล่าว ก็จะประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยในเฟสแรกมี จำนวน 40 โรงเรียน จากนั้นประมาณวันที่ 9 - 11 พ.ค.นี้ จะนัดภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯมาลงนามความร่วมมือ หรือ MOU กับโรงเรียนทั้ง 40 แห่ง โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน" นพ.อุดม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี