มีผู้กล่าวว่าหลายปีมานี้ “ธรรมชาติกำลังเอาคืน” หรือไม่ก็ว่า “ธรรมชาติกำลังปรับสมดุล” แต่ทั้ง 2 ล้วนความหมายทำนองเดียวกันคือ “วิถีชีวิตของมนุษย์ได้ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ” โดยเฉพาะในรอบร้อยกว่าปีล่าสุดที่มนุษย์ก้าวสู่สังคมอุตสาหกรรมบนเส้นทางทุนนิยมบริโภค มีการเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติและนำทรัพยากรต่างๆ ออกมาใช้อย่างมหาศาล กระทั่งในระยะหลังๆ เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญ “สภาวะอากาศแปรปรวน” (Climate Change) ทำให้ต้องหันกลับมาทบทวนและปรับเปลี่ยนการพัฒนาที่ต้อง “เป็นมิตร” กับสิ่งแวดล้อมด้วย
“แผ่นดินชายฝั่งถูกกัดเซาะ” เป็นอีกปัญหาหนึ่งในพื้นที่ติดทะเล สาเหตุสำคัญมาจากมนุษย์เข้าไปบุกรุกพื้นที่ “ป่าชายเลน” ทั้งการตัดถางต้นไม้เพื่อทำนากุ้งรวมถึงการทำประมงด้วยวิธีแบบทำลายสิ่งแวดล้อม เมื่อประกอบกับสภาวะอากาศแปรปรวนปัญหาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จึงมีความพยายามฟื้นฟูป่าชายเลนให้กลับคืนมา ดังตัวอย่างที่ “ชุมชนบ้านเปร็ดใน” ต.ห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตราด
ในอดีตชุมชนแห่งนี้จะใช้วิธีนำ “เต๋ายาง”ที่หมายถึงยางรถยนต์เก่ามาวางแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แม้จะได้ผลในระดับหนึ่งแต่ก็เป็นการทำแบบ “ตามมีตามเกิด” ขาดการ
วิเคราะห์และวัดผล จึงไม่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้ กระทั่งต่อมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้เข้าไปสนับสนุนด้านกระบวนการทางวิชาการ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดร.สมภพ รุ่งสุภา นักวิจัยจากสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของชุมชนที่มีแนวคิดในการแก้ไขโดยใช้เต๋ายางวางนอกแนวชายฝั่ง เพื่อลดพลังคลื่น และเพื่อให้เป็นแหล่งหลบภัยของสัตว์น้ำ แต่ปัญหาคือรูปแบบการวางเต๋ายางยังขาดการพิสูจน์หรือการตรวจวัดทางวิชาการ เนื่องจากการกัดเซาะมีด้วยกัน 2 แบบ คือแบบแนวราบและแบบแนวดิ่ง
“วิธีการตรวจวัดการกัดเซาะทั้ง2 แบบแตกต่างกัน อีกทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้อยู่อาจไม่เหมาะกับชุมชน เพราะชุมชนต้องการความเรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก และเครื่องมือที่ใช้สามารถหาได้จากในพื้นที่ สามารถซ่อมแซมและทำได้ด้วยตัวเอง ประกอบกับรูปแบบการวางเต๋ายางหรือแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งสิ่ง สำคัญคือรูปแบบการวางและระยะห่างจากแนวชายฝั่งถึงแนวเต๋ายาง” ดร.สมภพ กล่าว
นักวิจัยผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า ช่วงปี 2555-2558 ได้ศึกษาประสิทธิภาพเต๋ายางช่วยลดการกัดเซาะจริงหรือไม่ ซึ่งพบว่าปริมาณของดินที่มีเต๋ายางเพิ่มมากขึ้น แต่ต้องปรับปรุงการสร้างแนวเต๋ายางใหม่เพื่อไม่ให้จมโคลนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่ชุมชนได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก
นักวิจัย เริ่มตั้งแต่การจัดเวทีพูดคุยรับฟังความคิดเห็นระหว่างคนในชุมชน ทำให้รู้ถึงสาเหตุที่มาของปัญหา
จากนั้นมีการศึกษาดูงานเกี่ยวกับรูปแบบต่างๆ ของแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง เช่น ในพื้นที่บ้านขุนสมุทรจีนและบ้านโคกขาม รวมถึงการได้รับความรู้เกี่ยวกับรูปแบบ ข้อดีข้อเสียของโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแบบต่างๆ ผลสรุปคือชาวชุมชนบ้านเปร็ดเลือกใช้ “ไม้ไผ่” เพราะเป็นวัสดุหาง่ายในชุมชน สามารถซ่อมแซมเองได้ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากนัก
ชาวชุมชนจึงได้ปรับปรุงการสร้างแนวเต๋ายางใหม่ โดยวางติดกับแนวป่าชายฝั่งระยะห่าง 20 เมตร และเสริมให้เต๋ายางชุดใหม่ไม่จมโคลน โดยใช้การสวมยางล้อรถยนต์เก่ากับเสาไม้ไผ่ที่มีขนาดเสาละ5 ลำไม้ไผ่ผูกติดกัน ทำให้โครงสร้างแข็งแรงกันการจมและการเคลื่อนตัวของเต๋ายางได้ปักเป็นแนวยาวขนานกับชายฝั่ง 200 เมตรเพื่อเป็นการนำร่องในบริเวณพื้นที่ปากคลอง 7ถึงปากคลอง 8
ดร.สมภพ ยังอธิบายการวัดผลแนวเต๋ายางด้วยว่า “การกัดเซาะแบบแนวราบ” หรือระยะห่างจากแนวชายฝั่งหรือแนวป่าชายเลนหลังทำแนวเต๋ายางถึงแนวชายฝั่งหรือแนวป่าชายเลนดั่งเดิม ใช้วิธีปักเสาคอนกรีตติดหมายเลขเป็นหลักหมุดตำแหน่งที่แนวชายฝั่งหรือป่าชายเลนก่อนเริ่มทำแนวเต๋ายาง และวัดระยะการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งหลังเริ่มทำแนวเต๋ายางว่า “ถอยร่นหรือขยายตัวจากแนวเสาคอนกรีต” ที่เป็นหลักหมุดดังกล่าว
ส่วน “การกัดเซาะแบบแนวดิ่ง” ใช้ไม้ปักและใช้สายวัดระดับหรือเชือกวัดจากพื้นดินถึงขีดระดับที่ขีดไว้ในบริเวณแนวสาธิต “ถ้าตัวเลขน้อยแสดงถึงปริมาณดินมากขึ้น” หมายความว่าพื้นดินบริเวณนั้นสูงขึ้น(หน่วยเมตร/วัน) ทั้งนี้การตรวจสอบ พบว่ามีตะกอนเข้ามาหลังแนวเต๋ายางมากน้อยเท่าไหร่นั้น ใช้วิธีการนำกระบอกหรือขวดพลาสติกมัดผูกติดกับไม้เพื่อดักตะกอนดิน ทุก 15 วัน
นำตะกอนที่ดักได้ไปอบแห้งและนำไปชั่งน้ำหนัก(หน่วยกรัม/วัน) วิธีนี้จะช่วยตรวจสอบว่ามีตะกอนเข้ามาและเพิ่มขึ้น “พื้นดินงอกขึ้น” จริงหรือไม่?
ผลการศึกษา “เป็นที่น่าพอใจ” โดยหลังการปักไม้ไผ่ร่วมกับการวางเต๋ายางรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้เต๋ายางไม่เคลื่อนที่หรือหลุดจากแนวที่ติดตั้งไว้ พบว่า ต้นไม้หยุดการล้ม มีต้นไม้งอกขึ้น และยังพบกล้าไม้ที่อยู่ตามพื้นที่ในบริเวณแนวชายฝั่งเดิมเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่ไม่เคยเจอเนื่องจากถูกคลื่นซัดหายไปและพบมีดินตะกอนงอกออกไปในทะเลรวมทั้งพื้นทะเลหลังแนวป้องกันฯ งอกสูงขึ้นจากเดิมที่พื้นทะเลถูกกัดเซาะลึกลง
ในด้านทรัพยากรชายฝั่งทะเล พบว่าหอยขาว หอยแครง สัตว์น้ำหน้าดินเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ด้านองค์ความรู้ชุมชนในอดีตที่ชุมชนไม่มีองค์ความรู้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพของแนวป้องกัน แต่ปัจจุบันชุมชนสามารถตรวจวัดระดับการกัดเซาะชายฝั่งได้ด้วยตนเอง และนำไปสู่การจัดทำต้นแบบแผนชุมชนในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งของชุมชนเอง
ผลของความสำเร็จนี้ยังได้รับความสนใจจากชุมชนใกล้เคียง...เชื่อว่าในอนาคตจะกลายเป็นพื้นที่ศึกษาดูงานการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีกแห่งหนึ่งของไทย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี