6 พ.ค.61 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จากชาวบ้าน ที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ว่าถูกสาวแผนกสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่ง จ.นครพนม โกงเงินลูกค้ารวมแล้วกว่า 12 ล้านบาท มีการแจ้งความไว้ที่ สภ.ท่าอุเทน ตั้งแต่เดือน ก.ย.60 ถึงวันนี้คดียังไม่คืบหน้า ขณะที่สาขาต้นสังกัดยังคงส่งใบแจ้งเรียกเก็บหนี้กับลูกค้าอย่างปกติ
นางประหยัด เจริญราษฎร์ อายุ 41 ปี บ้านเลข 33 หมู่ 3 ต.ท่าอุเทน เป็นแกนนำพาชาวบ้านร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว แต่ละคนมีเอกสารทั้งใบแจ้งหนี้จากธนาคารและสำเนาใบแจ้งความของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เผยว่า ในฐานะเป็นลูกค้าธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาท่าอุเทน มีการรวมกลุ่มกันไม่น้อยกว่า 10 คน เพื่อเสนอขอกู้เงินโดยใช้วิธีค้ำประกัน มี น.ส.ปุ๋ย (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี พื้นเพเป็นคน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่ง กว่า 5 ปี คอยบริการเรื่องต่างๆให้ทุกอย่าง
ประมาณเดือน มี.ค.60 กลุ่มพวกตนได้ยื่นเรื่องขอกู้เงินขั้นต่ำคนละ 20,000 บาท - 250,000 บาท การเซ็นสัญญาจะทำกันบนชั้น 2 ของอาคารธนาคาร ซึ่งจะมีพนักงานนั่งทำงานอยู่ 5 คน หนึ่งในนั้นก็คือ น.ส.ปุ๋ย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อภาคสนาม โดยพวกตนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับ น.ส.ปุ๋ยเป็นอย่างดี
นางประหยัด เล่าต่อว่า ได้ขอกู้เงินแค่ 50,000 บาท แต่เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา ตนกลับมียอดหนี้มากถึง 400,000 บาท ขณะที่คนอื่นในกลุ่มก็กู้มากบ้างน้อยบ้างคละเคล้ากัน โดย น.ส.ปุ๋ยจะนัดลูกค้ามารับเงินที่ธนาคาร แต่การนัดจะไม่ตรงกัน บางคนเซ็นชื่อรับเงินไปก่อนครึ่งหนึ่ง เงินส่วนที่เหลือน.ส.ปุ๋ย อ้างจะนำไปส่งให้ที่บ้าน เช่น นางสินธ์ มณีลุน อายุ 57 ปี บ้านเลขที่ 39 หมู่ 11 บ้านปากทวย ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน ขอกู้ 80,000 บาท ไปเซ็นรับเงินที่ธนาคารในตอนเช้า น.ส.ปุ๋ย จ่ายให้แค่ 50,000 บาท อ้างว่าที่เหลือจะเอามาให้ถึงบ้าน ตอนบ่ายในวันเดียวกัน น.ส.ปุ๋ย ก็มาขอเงิน 50,000 บาทคืน อ้างจะเอาไปส่งคืนธนาคาร แล้วจะทำเรื่องเบิกใหม่ให้ครบ 80,000 บาทเต็ม ด้วยความไว้วางใจจึงมอบเงินจำนวนดังกล่าวคืน และ น.ส.ปุ๋ย นัดไปรับเงินอีกครั้งในวันที่ 21 เม.ย.60 ตนได้รับเงิน 80,000 บาทจริง แต่ปรากฏยอดหนี้เป็นเงิน 130,000 บาท ตนพยายามสอบถาม น.ส.ปุ๋ย ก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าระบบข้อมูลผิดเดี๋ยวจะแก้ไขให้
ทางด้านนางเสมอ กิติศรีวรพันธุ์ ขอกู้ 240,000 บาท น.ส.ปุ๋ย นำเงินมามอบให้ 120,000 บาท ที่เหลืออ้างจะเอาไปปิดหนี้เก่า แล้วจะเอาใบเสร็จมาส่งให้ที่บ้าน หลังเกิดเรื่องตนไปขอดูยอดหนี้ น.ส.ปุ๋ยไม่ได้ชำระหนี้แต่อย่างใด
ขณะที่นางไคศรี ยะสา อายุ 60 ปี บ้านเลขที่ 36 หมู่ 7 บ้านกุดสะกอย ต.โนนตาล มีหนี้อยู่กับธาคาร 500,000 บาท ส่งต้นและดอกเบี้ยสม่ำเสมอ ต่อมาได้ทำประกันชีวิตให้ลูกสาวที่ไปทำงานต่างประเทศปีละ 12,000 บาท จ่ายเบี้ยประกันทุกปีไม่เคยขาด ภายหลัง น.ส.ปุ๋ย อาสารับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยและเงินประกันชีวิตส่งธนาคารแทน อ้างว่าตนไปมาลำบากจะจัดการให้ ตนเห็นเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร จึงมอบเงินให้ไปครั้งละ 47,000 บาท ปรากฏว่าลูกสาวประสบอุบัติเหตุระหว่างทำงานนิ้วขาด 3 นิ้ว ตนจึงยื่นเรื่องขอสินไหมจากธนาคาร ปรากฎว่าพนักงานคนหนึ่งบอกว่า ตนไม่ได้ส่งเบี้ยประกันมาหลายปีแล้ว จึงหมดสิทธิ์ในการจะได้สินไหมทดแทน และเงินที่ใช้หนี้ก็ยังเหมือนเดิม น.ส.ปุ๋ย ไม่ได้นำมาชำระหนี้ให้แต่อย่างใด
นางประหยัด กล่าวอีกว่า หลังมีการรับเงินก็ยังไม่ได้ใบแจ้งยอดหนี้ จนถึงเดือน ส.ค.60 ผู้ใหญ่บ้านมาบอกให้ไปดูยอดหนี้ที่ธนาคาร เพราะ น.ส.ปุ๋ย ปฏิบัติหน้าที่ทุจริต จึงชักชวนเพื่อนในกลุ่มพากันไปขอดู แต่ละคนเห็นยอดหนี้ถึงกับเป็นลม เพราะมียอดหนี้สูงเกินจริงทุกราย ระหว่างเกิดเรื่องทางธนาคาร ก็ไม่ได้ดำเนินการแจ้งความใดๆ แค่สั่งย้าย น.ส.ปุ๋ยไปประจำอยู่ที่สาขานครพนมแทน ตนเห็นความไม่ชอบมาพากลจึงโทรศัพท์ไปบอกนักจัดรายการสถานวิทยุคลื่นหนึ่ง ให้ออกข่าวว่ามีพนักงานสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาท่าอุเทน โกงเงินลูกค้า และทางธนาคารยังเพิกเฉย จากนั้น น.ส.ปุ๋ย ก็หายหน้าหายตาไปเลย พวกตนจึงพากันแจ้งความในข้อหาฉ้อโกงประชาชนไว้ที่ สภ.ท่าอุเทน รวมผู้เสียหาย 39 ราย มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท
น.ส.นิรมล กิติศรีวรพันธุ์ อายุ 38 ปี ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ท่าอุเทน ซึ่งเป็นลูกสาวของนายจรูญ กิติศรีวรพันธุ์ อายุ 70 ปี เปิดเผยว่า พ่อมียอดหนี้ 50,000 บาท ก่อนหน้านี้พ่อได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้ น.ส.ปุ๋ยไปปิดหนี้ แต่ไม่ได้นำเงินไปชำระหนี้ พ่อตนจึงมียอดหนี้เหมือนเดิม หลัง น.ส.ปุ๋ยถูกย้ายไปอยู่ที่สาขาอื่น ได้ไปนั่งประจันกันแล้วซักถามข้อเท็จจริง ว่าโกงเงินนับสิบล้านบาทไปทำอะไร
น.ส.ปุ๋ย สารภาพว่า ติดการพนันอย่างหนัก โดยจะข้ามไปเล่นการพนันที่บ่อนคาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อไม่มีเงินก็ซิกแซกเอาเงินลูกค้าไปเล่นจนหมดตัว และจะกลับบ้านไปขายนามาใช้หนี้คืน ถึงปัจจุบัน น.ส.ปุ๋ยปิดเครื่องไม่สามารถติดต่อได้
ขณะที่ทางธนาคาร ก็ไม่ยอมให้ความกระจ่าง อ้างว่าต้องรอทางส่วนกลางมาสอบสวน มีมาสอบปากคำแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ทุกอย่างก็ยังเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทางตำรวจก็อ้างว่าออกหมายจับไปแล้ว จึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี