7 พ.ค.61 เมื่อเวลา 17.30 น. ที่ห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรท่าม่วงอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี พล.ต.ต.พิเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ผบก.ทท.3 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท. 1 พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท. 1 พ.ต.อ.นิธิธรจินตกานนท์ รอง ผบก.ศป.พ.ต.อ.ดุสิต วาลีประโคน ผกก 1บก.ทท. 3 พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ สว.ทท. 1 กก.1 บก.ทท.3
ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 นำโดย พ.ต.อ.พูนทรัพย์ ประเสริฐเมธ รอง ผบก. ภ.จว. กาญจนบุรี พ.ต.อ.รณัฏฐ์ ผันผ่อน รอง ผบก. ภ.จว. สมุทรสงคราม พ.ต.อ.วุฒิพงษ์ เย็นจิตต์ รอง ผบก. ภ.จว. กาญจนบุรี พ.ต.อ.สุชาย เทศัชบุตร ผกก.สภ.ท่าม่วง และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำโดย พ.ต.อ.สำราญ กลั่นมา ผกก.ตม.กาญจนบุรี พ.ต.ท.ณกรณ์ กรรสูต สว.กก 4 บก. ส.1 พ.อ.มนตรี ธนาวรรณโอภาส เสธ กกล.รส.จว.กาญจนบุรี (มทบ.17)และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวตามยุทธการทลายเครือข่ายอาชญากรทางเศรษฐกิจตามหมายจับตำรวจสากลที่หลบหนีมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยโดยผิดกฎหมาย
ผู้ต้องหาประกอบด้วย 1 นายบิยอง แท เจิน หรือชื่อภาษาไทยนายแสง จันทร์นวล อายุ 54 ปี ชาวเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่าเป็นบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและพำนักอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 664/ 2558 ลงวันที่ 16 ก.ย. 2558 gs96เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 ที่ตำบลท่าล้ออำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี
ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของนายบิยิง แท เจิน คือ นางกวาง ซุก ชิน อายุ 54 ปี โดยกล่าวหาว่าเป็นบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและพำนักอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้ต้องหาที่ 3 นายเอกทัศน์ หรือเอก แก้วสีรัง อายุ 43 ปีอยู่บ้านเลขที่ 182/17 หมู่ 10 ตำบลปากแพรก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยกล่าวหาว่าให้บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมายเข้าพักอาศัยซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆเพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นการจับกุม
ทั้งนี้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล แถลงว่า ตามนโยบายของรัฐบาลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจขันจับกุมกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยโดยแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อมาก่ออาชญากรรมข้ามชาติและหลบซ่อนตัวภายในประเทศไทย
ที่ประสบกับความมั่นคงส่งผลต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติพักอาศัยอยู่ในประเทศโดยการอนุญาตสิ้นสุดลงและหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาวิธีการกระทำผิดให้มีความซับซ้อนและหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่รัฐ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สนองนโยบายของรัฐบาล โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดซึ่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมที่เกี่ยวกับชาวต่างชาติทุกรูปแบบที่แฝงตัวมาในคราบนักท่องเที่ยว
ต่อมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้รับการประสานจากสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย และกองการต่างประเทศว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศเกาหลีใต้ หมายจับตำรวจสากล (i n t e r p o l) ในข้อหาฉ้อโกงรวมมูลค่าความเสียหาย 115,195,588 บาท เมื่อปี พ. ศ.2548 และหลบหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองนี้ได้หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมคาวบอย เลขที่ 59/18 หมู่ 1 ตำบลท่าล้อ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี จึงได้วางแผนเข้าทำการตรวจสอบโดยได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดกาญจนบุรีที่ 405 / 2561 ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2561 เข้าทำการตรวจค้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2561 ผลการตรวจค้นพบผู้ต้องหาทั้งสองคนหลบซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมดังกล่าว จึงได้ทำการจับกุมตัว
จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 เป็นบุคคลตามหมายจับของประเทศเกาหลีใต้จริง ข้อหาฉ้อโกง มูลค่าความเสียหาย 115,195,588 บาท เหตุเกิดเมื่อปี 2548 มีผู้เสียหายเป็นคนสัญชาติเกาหลีใต้ จำนวน 6 คน ซึ่งทางการประเทศเกาหลีใต้ มีความต้องการตัวไปดำเนินคดี
รวมทั้งได้ประสานตำรวจสากล ออกหมายจับหมายแดงไว้เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 รวมเวลา13 ปีและเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2561 ได้มีกลุ่มผู้เสียหายชาวเกาหลีใต้จำนวน 4 คน จากจำนวนทั้งหมด 15 คน ได้เดินทางจากประเทศเกาหลีใต้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภท่าม่วง ในข้อหาฉ้อโกงมูลค่าความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท
สำหรับพฤติกรรมคือ เมื่อประมาณปลายปี 2559 ผู้ต้องหาทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงชักชวนให้ผู้เสียหายทั้ง 15 คน มาร่วมลงทุนก่อสร้างโรงแรมในจังหวัดกาญจนบุรี ชื่อคาวบอยโดยอ้างว่าจะลงทุนสร้างเป็นเมืองท่องเที่ยวสำหรับชาวเกาหลีใต้โดยเฉพาะ k o r e a n t O W n โดยผู้ต้องหาได้นำโบชัวร์ นำเสนอโครงการว่าจะก่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร มีทั้งโรงแรม คาสิโน สถานบันเทิง ร้านค้าต่างๆ ในพื้นที่บริเวณโครงการ และได้พาผู้เสียหายมาดูและพักในโครงการดังกล่าว ทำให้ผู้เสียหายทั้งหมดหลงเชื่อ และร่วมลงทุนโดยได้โอนเงินให้แก่ผู้ต้องหาทั้งสองรวมเป็นเงินจำนวน 100 ล้านบาท สรุปสองสามีภรรยาที่ฉ้อโกงมามากกว่า 200 ล้านบาท
แต่ต่อมาเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ผู้ต้องหาได้แจ้งให้ผู้เสียหายซื้อที่ดินข้างโรงแรมเพิ่มเติมอีก 20 ล้านบาท จึงเกิดความสงสัยที่ผู้ต้องหาขอพัดผ่อนเรื่อยมาว่าจะเปิดกิจการถึง 3 ครั้ง คือครั้งแรก เดือนมิถุนายน ครั้งที่สองเดือนกันยายน และครั้งที่สามเดือนธันวาคม 2560
จึงทวงถามกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวและการเปิดกิจการโรงแรมผู้ต้องหาได้ข่มขู่ห้ามผู้เสียหายเดินทางมาในประเทศไทย โดยอ้างว่ามีหมายจับ ผู้เสียหายจึงได้ตรวจสอบปรากฏว่าไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงเชื่อแน่ว่าถูกหลอกลวงอย่างแน่นอน จึงได้พากันเดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด สำหรับครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยมาร่วมรับฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย
พล.ต.ต.พิเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.เปิดเผยว่า จากการได้พูดคุยกับผู้ต้องหาเบื้องต้นเขายังไม่ให้การยอมรับสารภาพ ส่วนเขาจะให้การอย่างไรก็ไม่เป็นไร แต่ว่าในการดำเนินการนั้นเรามีหมายจับอยู่แล้ว มีผู้เสียหายชัดเจน เพราะฉะนั้นเรื่องการฉ้อโกงประชาชน เป็นเรื่องที่เราต้องทำอยู่แล้ว ซึ่งผู้เสียหายถึงแม้จะเป็นชาวเกาหลี ซึ่งไม่ใช่คนไทยก็ตาม
เมื่อความผิดเกิดขึ้นในประเทศไทย ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ในส่วนเรื่องของการสอบสวน เดี๋ยวผู้กำกับ สภ.ท่าม่วง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ก็จะดำเนินการในเรื่องของการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป สำหรับเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน จะต้องเอาไว้ภายหลัง ซึ่งเราก็ได้รายงานให้สถานทูตเกาหลีใต้ทราบแล้ว และวันนี้ตัวแทนสถานทูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย มาร่วมรับฟังการแถลงและทราบเรื่องแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี