โปรดเกล้าฯถอดสมณศักดิ์

7พระเถระ!

‘เจ้าคุณธงชัย’โผล่มอบตัว

ตร.ล็อกส่งคุก-ค้านประกัน

ปลด3รูปพ้นกรรมการมส.

‘พุทธะอิสระ’บอกสบายใจ

ขออยู่ในเรือนจำต่อไปก่อน

โปรดเกล้าฯ ถอดสมณศักดิ์พระชั้นผู้ใหญ่ 7 รูป หลังพัวพันคดีทุจริตเงินทอนวัด ที่ประชุม มส.มีมติปลด 3 พระชั้นผู้ใหญ่ พ้นตำแหน่งกรรมการ ขณะที่“อดีตพระพุทธะอิสระ”บอกสบายใจ ขออยู่ในเรือนจำก่อน ยังไม่ต้องยื่นประกัน ด้าน“อดีตพระพรหมสิทธิ”เข้ามอบตัว ตำรวจส่งฝากขังผัดแรก พร้อมค้านประกัน

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศเรื่อง ถอดถอนสมณศักดิ์ โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ด้วยปรากฏว่ามีกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่า กระทําการทุจริตและถูกดําเนินคดีอาญาในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต อาศัยอํานาจตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ตามความในมาตรา 5 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535

โปรดเกล้าฯถอดสมณศักดิ์7รูป

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ถอดถอนสมณศักดิ์ จํานวน 7 รูป ดังนี้ 1.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร 2.พระพรหมเมธี (จํานงค์ เอี่ยมอินทรา) วัดสัมพันธวงศาราม 3.พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) วัดสามพระยา 4.พระราชอุปเสณาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระเมธีสุทธิกร) (สังคม สังฆะพัฒน์) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร 5.พระราชกิจจาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระวิจิตรธรรมาภรณ์) (เทอด วงศ์ชะอุ่ม) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร 6.พระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อรรถกฤษณ์) วัดสามพระยา และ 7.พระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คํามา) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยกเว้นลําดับที่ 3 5 6 และ 7 ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่ถูกจับกุมและสละสมณเพศ ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2561 เป็นปีที่ 3 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

วิษณุชี้ต้องแยกจากเรื่องการสึก

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องการถอดสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ และจะกลับมาบวชได้อีกหรือไม่นั้น การถอดสมณศักดิ์ กับการอุปสมบท แยกออกจากกัน เพราะความผิดทางโลกถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และความผิดทางธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น การที่พระสงฆ์อยู่กับสีกา ถือเป็นความผิดทางธรรม แต่ไม่ได้ผิดในทางโลก ส่วนการสึก ก็จะมีปัญหาในส่วนที่กฎหมายบังคับให้สละสมณเพศ ดังนั้นจึงต้องสละสมณเพศไปก่อน และในภายหลังหากมีการถกเถียงว่า ไม่ใช่การสึกด้วยความสมัครใจ ก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันต่อไป เมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว ส่วนสมณศักดิ์นั้น เป็นเรื่องที่ได้รับพระราชทาน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ทรงเรียกกลับคืนได้ หรือที่เรียกว่าถอดยศ

ยกพระพิมลธรรมเป็นตัวอย่าง

“บางคดีพระสงฆ์บางรูปมีความผิดทั้งในทางโลกและทางธรรม เช่น พระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ หรือต่อมาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็ให้ถูกสละสมณเพศ หรือถูกบังคับให้สึก และถอดสมณศักดิ์ แต่ต่อมาเมื่อคดีถึงที่สุด และปรากฎว่าไม่มีความผิด ก็กลับไปห่มผ้าเหลืองเช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่าไม่เคยเปล่งวาจาสึก และเมื่อห่มผ้าเหลืองแล้ว ได้ไปไหว้พระชั้นผู้ใหญ่วัดต่างๆ ซึ่งต่างรับไหว้ต่อกัน ในทางสงฆ์ถือว่ายอมรับการเป็นพระสงฆ์อยู่ และขั้นต่อไปก็ขอพระราชทานสมณศักดิ์คืน” นายวิษณุ กล่าว

พศ.พร้อมให้ข้อมูล ป.ป.ช.

เช้าวันเดียวกัน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เดินทางเข้าพบ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรายงานการทำงานของ พศ.และการสอบสวนการทุจริตเงินทอนวัด จากนั้น พ.ต.ท.พงศ์พร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเงินทอนวัดว่า ทาง พศ. จะทำให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องคดีว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ หากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะประสานขอข้อมูลจาก พศ. ก็จะให้

กำชับหลักเกณฑ์งบอุดหนุนวัด

นายสุวพันธุ์ เปิดเผยว่า ได้พูดคุยถึงความคืบหน้าการดำเนินการสอบเรื่องทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุนของ พศ.ในระยะที่ 1-3 โดยได้ให้กองบังคับการป้องกันและปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ปปป.ตร.)และคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ปปท.)รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการไปตามหลักฐานและอำนาจ ส่วน พศ. จะตรวจสอบข้าราชการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม พร้อมกำชับเรื่องการใช้งบประมาณปี 2561 ให้เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ ทั้งงบการอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด งบอุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และงบอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม

บิ๊กป้อมยืนยันไม่สนิทหลวงปู่

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการบุกจับ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ว่า ตำรวจทำงานตามระเบียบ กฎข้อบังคับ แต่ทำให้คนที่ศรัทธาต่ออดีตพระพุทธอิสระเกิดความไม่พอใจ ซึ่งตนได้ขอโทษไปแล้ว การบุกจับอดีตพระพุทธอิสระนั้น ตนไม่รู้มาก่อน เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ เป็นเรื่องคดีความ และไม่ได้รายงานมาที่ตน และยืนยันว่าตนไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอดีตพระพุทธอิสระแต่อย่างใด

หมอระวี-แกนนำกปปส.เข้าเยี่ยม

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศช่วงเช้าที่บริเวณหน้าเรือนจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า ได้มีกลุ่มศิษย์ และพระสงฆ์จากวัดอ้อน้อย เดินทางมาลงทะเบียนเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระ ขณะเดียวกันก็มีพระสงฆ์จากวัดอื่นๆ เดินทางมาเยี่ยมอดีตพระเถระอีก 5 ราย ที่ถูกนำตัวมาคุมขังในคดีทุจริตเงินทอนวัด

นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เปิดเผยหลังเดินทางมาเข้าเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระว่า โดยส่วนตัวรู้สึกว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ไม่เคยหนีคดี และคิดว่าการกระทำของตำรวจรุนแรงเกินไป คนที่ควรจะออกมาขอโทษมากที่สุดคือ ผบ.ตร.

ขณะเดียวกัน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางมาเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระ พร้อม นายณัฐพล ทีปสุวรรณ และนายชุมพล จุสใส หรือลูกหมี แกนนำ กปปส. ว่า รู้สึกเป็นห่วงจึงมาเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจ ในส่วนประเด็นข้อกฎหมายและการต่อสู้คดีความ พวกตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง

“หลวงปู่”ยืนยันไม่ต้องประกันตัว

ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกวุฒิสภา พร้อมด้วย นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ทนายอดีตพระพุทธะอิสระ ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระ เช่นกัน โดยให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการหารือทั่วไปในเรื่องคดีความ ซึ่งหลวงปู่เห็นว่าเป็นช่วงรัฐบาล คสช.ทำหน้าที่ในการจัดภาระสิ่งไม่ดีในคณะสงฆ์ เป็นเรื่องที่หลวงปู่ท่านรอคอยมาตลอดเวลา ซึ่งหลวงปู่รู้สึกชื่นชมในการดำเนินงานของรัฐบาล ส่วนกำหนดการที่จะขอประกันตัวนั้น หลวงปู่ไม่อยาก ให้ดำเนินการใดๆ ช่วงนี้สบายใจก็เลยอยากอยู่ในเรือนจำต่อไปก่อน อย่างไรก็ตามทางหลวงปู่ท่านตื่นตีสามมาทำวัตรทุกวัน ท่านทำตัวตามปกติเหมือนปฏิบัติตัวอยู่ที่วัด

ราชทัณฑ์ยังให้ประกอบศาสนกิจได้

พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงกรณีความเป็นอยู่ของอดีตพระที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า ยังถือว่าเป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีเนื่องจากคดีไม่สิ้นสุด ฉะนั้นจะต้องแยกระหว่างผู้ต้องขังระหว่างและผู้ต้องขังเด็ดขาดออกจากกัน ส่วนมาตรการดูแลของผู้ต้องขังระหว่างนั้นกิจกรรมจะไม่เข้มข้นเท่าผู้ต้องขังเด็ดขาด เพราะว่าเขาจะต้องต่อสู้คดี แม้ว่าหลายคนจะถอดผ้าเหลืองแล้วแต่ก็ยังอยากถือศีล ไม่รับประทานอาหารเย็น เราก็อนุโลมตามที่สมควร

ปลด3พระผู้ใหญ่พ้นมส.

บ่ายวันเดียวกัน นายสิปป์บวร แก้วงาม ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวภายหลังการประชุม มส. ว่า ที่ประชุม ได้รับทราบประกาศราชกิจจานุเบกษา ในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร  มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ถอดถอนสมณะศักดิ์ จำนวน 7 รูป และยังรับทราบถึงพระบัญชา สมเด็จพระสังฆราช ให้กรรมการ มส.ทั้ง 3  รูป ประกอบด้วย พระพรหมดิลก พระพรหมสิทธิ พระพรหมเมธี พ้นจากตำแหน่งกรรมการ มส. รวมทั้งยังมีมติให้พระพรหมสิทธิ พ้นจากตำแหน่งประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ

ตั้งรักษาการเจ้าคณะภาคชุดใหม่

ขณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการ มส. เสนอแต่งตั้ง พระเทพวิสุทธิโมลี(พรหมา สปฺปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส รองเจ้าคณะภาค 10 เป็นรักษาการเจ้าคณะภาค 10 แทนพระพรหมสิทธิ สำหรับตำแหน่งเจ้าคณะกรุงเทพฯ ที่ว่างลงนั้น สมเด็จพระพุทธชินวงศ์(สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการ มส. ได้แจ้งให้ มส.รับทราบถึงการแต่งตั้งให้ พระธรรมสุธี(นรินทร์ นรินฺโท) เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง รองเจ้าคณะกรุงเทพฯ เป็นรักษาการเจ้าคณะกรุงเทพฯ นอกจากนี้ สมเด็จพระวันรัต(จุนท์ พฺรหฺมคุตโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ปฏิบัติหน้าที่เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้แจ้งให้ มส.ได้รับทราบถึงการแต่งตั้ง พระพรหมมุนี(สุชิน อคฺคชิโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิตร สถิตมหาสีมาราม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะภาค 14-15 (ธรรมยุต) เป็นรักษาการเจ้าคณะภาค 4-5-6-7 แทนพระพรหมเมธี

เจ้าอาวาสวัดสระเกศมอบตัว

เมื่อเวลา 10.30 น. กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) อดีตพระพรหมสิทธิ หรือพระธงชัย สุขญาโณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พร้อมทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน โดยพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ ก่อนที่จะให้แพทย์จาก รพ.ตำรวจ ก็ได้เข้าทำการตรวจร่างกาย พร้อมนำตัวไปพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติและแจ้งข้อกล่าวหา

คุมตัวฝากขังพร้อมค้านประกัน

ต่อมาเวลา 15.00 น. พล.ต.ต.ไมตรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. ได้ควบคุมตัวอดีตพระพรหมสิทธิ ไปขึ้นรถตู้กองปราบปรามเพื่อไปฝากขังที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พร้อมคัดค้านการประกันตัว ขณะที่ทนายความได้เตรียมหลักทรัพย์มูลค่า 1 ล้านบาท มายื่นประกอบคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว