วันนี้ (18 ก.ค.) นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความเห็นผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "ธวัชชัย ไทยเขียว" ถึงแนวทางการตั้งคำถาม 13 หมูป่าอะคาเดมี่ แม่สาย หลังได้รับการช่วยเหลือออกมาจากถ้ำหลวง และกำลังจะออกจากโรงพยาบาลกลับเข้าไปอยู่ที่บ้านยของตนเอง โดยระบุว่า "ทางตั้งคำถามเด็กผู้ประสบภัยร้ายแรง..รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม”...!!!"
การสอบถามเด็กหรือเยาวชนต้องคำนึงถึงสภาพร่างกายและจิตใจของเด็กเรื่องจากเป็นวัยที่เปราะบางต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้น การตั้งคำถามเด็กจึงจำเป็นต้องใช้ภาษากับเด็กที่มีความเหมาะสมที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กที่อยู่ในภาวะทุกข์ยากลำบากจากการเป็นผู้ผ่านประสบภัยร้ายแรงมา
การประสบภัยครั้งนี้เป็นที่รับรู้กันโดนทั่วไป แต่ประเทศไทยเท่าที่จำได้ยังไม่มีการกำหนดแนวทางการปฏิบัติและตั้งคำถามที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันมีการกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 133 ทวิ เรื่องการสืบพยานเด็กว่า "ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สามปีขึ้นไปหรือในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสามปี และผู้เสียหายหรือพยานซึ่งเป็นเด็ก ร้องขอหรือในคดีทำร้ายร่างกายเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี การถามปากคำเด็กไว้ใน ฐานะเป็นผู้เสียหายหรือพยาน ให้แยกกระทำเป็นส่วนสัด ในสถานที่ที่เหมาะสม สำหรับเด็กและให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการเข้าร่วม ในการถามปากคำนั้นด้วย" ทั้งยังดำหนดให้ใครหน้าที่ที่จะต้องแจ้งให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอไว้ด้วย และยังกำหนดจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงการถามปากคำดังกล่าวซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องไว้เป็นพยาน ซึ่งวิธีข้างต้นให้นำไปใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวนผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปีด้วย เพื่อไม่ให้มีการถามปากคำซ้ำ เป็นต้น
อย่างไรแม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ แต่ก็จำเป็นต้องดูกฎหมายหลักเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กเพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กตาม พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 27 ว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ"
ดังนั้น จึงสำคัญที่เจตนาว่า หากทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ย่อมสามารถกระทำได้ครับ
ประเด็นพิจารณา คือ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า เด็กเป็นผู้ประสบภัยร้ายแรงผ่านประสบการณ์อยู่ในภาวะทุกข์ยากตื่นกลัวสุดขีดมา แล้วยังคงตั้งคำถามแบบขาดความระมัดระวังอย่างมืออาชีพไปเปิดบาดแผลทางใจ จะเข้าข่ายเจตนาหรือไม่จึงเป็นเรื่องต้องวินิจฉัยต่อไป
อีกประการบางคำถาม สื่อไม่ควรถามนำที่จะเป็นส่งเสริมให้เด็กไปกระทำผิดหรือมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ให้ไปกระทำผิดกฎหมายอีกครับ เพราะอาจจะเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 26(3) ที่เป็นผู้ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิดได้ ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
ดังนั้น แม้จะไม่เคยมีแนวทางปฎิบัติและอนวทางการตั้งคำถามเด็กที่ผ่านการเป็นผู้ประสบภัย แต่เราก็อาจใช้แนวทางการสืบพยานเด็กมาเทียบเคียงใช้ เท่าที่จำเป็น ซึ่งถือว่าใกล้เคียงและเป็นประโยชน์มากที่สุดได้
จากการติดตามมาตรการและแนวทางการจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกลุ่มเด็กและเยาวชนติดถ้ำของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งให้ตั้งคำถามล่วงหน้าและนักจิตยาเป็นผู้แปลงคำถามจึงให้เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและน่าชมเชยเป็นอย่างยิ่งครับ อย่างไรก็ตามในอนาคต หากจะมีนำตัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไปทำอะไรโน่นนี่นั่น สมควรอย่างยิ่งต้องได้รับการอนุญาตจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเสียก่อนด้วยนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี