วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ช่วงนี้มีเรื่องราวหลายข่าวคราวในแง่ลบ ที่ต้องกระตุ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ดำเนินการตรวจสอบ “แก้ไข” และจัดการอย่างจริงจัง...ขอย้ำว่า“แก้ไข”นะครับ ไม่ใช่“แก้ตัว”
เริ่มด้วยประเด็นทุจริตคอร์รัปชั่นที่ส่อเค้าว่า เกิดขึ้นอีกแล้วครับท่าน ตามข่าวปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมป.ป.ท.-สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ได้สนธิกำลังกับทหาร,ตำรวจและฝ่ายปกครอง เข้าตรวจสอบโครงการป้องกันตลิ่งพัง ของสำนักงานชลประทานจังหวัดยะลา ที่บ้าน กม.26 หมู่ 2 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่า มีการทุจริต
โครงการใช้งบฯกว่า 24 ล้านบาท แต่ก่อสร้างไม่เป็นไปตามแบบแปลน เช่น จากความยาว 700 เมตร เหลือแค่ 631.3 เมตร,วางสโลบแนวหินซ้อนจากแบบ 4 ชั้น เหลือ 3 ชั้นและ 2 ชั้น,หน้ากว้างดินบดอัดแน่นจากแบบกว้าง 1 เมตร เหลือครึ่งเมตร,ปูนเสาดำ คสล.ขาวดำในแบบ 176 ต้น ไม่ใส่เลยแม้แต่ต้นเดียว และยังผิดอีกหลายรายการที่นายช่างและวิศวกรผู้ควบคุมฯให้รายละเอียดไม่ได้ ทั้งที่สิ้นสุดสัญญาโครงการไปเมื่อก.ย.2560 และเบิกจ่ายงบฯไปครบหมดแล้ว โดยมีนายสุทิน รามแก้ว นายช่างชลประทานจังหวัดยะลา เป็นประธานตรวจรับงาน และมีบ.อัครพันธ์ก่อสร้าง ตั้งอยู่ใน ยะลา เป็นคู่สัญญาผู้รับผิดชอบโครงการ
ผลสอบเบื้องต้น ระบุแสดงว่า มีการทุจริตเกิดขึ้น และทำบันทึกส่งเลขาฯป.ป.ท.ให้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด...ซึ่งข่าวยังระบุว่า การทุจริตมีนักการเมืองท้องถิ่นเกี่ยวข้อง แถมมีการแจก“ซองขาว”ผู้สื่อข่าวในพื้นที่ทุกสังกัดฉบับละ 3 หมื่นบาท เพื่อให้ปิดข่าวด้วย แต่สื่อบางสำนักถ่ายเอกสารไว้เป็นหลักฐาน แล้วนำ “ซองเงิน”ส่งคืนไป
มีข่าวชัดๆ แบบนี้ กรมชลประทานและกระทรวงเกษตรฯไม่น่าจะต้องรอผลจากป.ป.ท. แต่ควรแสดงความจริงจังในการจัดการให้ปรากฏ เพราะมีมาตรการรัฐบาล คสช.ที่นายกฯบิ๊กตู่แจ้งครม.ไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น เมื่อมีการร้องเรียนทุจริตหรือมีข้อมูลข่าวสารการทุจริต ขอให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นๆ เริ่มต้นตรวจสอบทันทีภายใน 7 วันและสอบให้เสร็จภายใน 30 วัน หากพบข้อมูลพอเชื่อได้ว่า มีการทุจริตเกิดขึ้น ให้ปรับย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ให้ยุ่งเหยิงกับพยานได้ เป็นต้น...รีบทำเลยครับ
ส่วนเรื่องต่อมาเป็นปัญหาที่ยังคงเป็นข่าวคราวอยู่เป็นระยะๆ มาตลอด เกี่ยวกับการตกค้างของสารอันตรายในสินค้าเกษตรทั้งปศุสัตว์และพืชผัก เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภคและเป็นการบ่อนเซาะความเชื่อมั่นที่มีต่อสินค้าเกษตรของไทยได้ด้วย โดยช่วงนี้มี 2 ข่าวคือ ข่าวที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแถลง“ผลทดสอบเนื้ออกไก่และตับไก่สด” ที่สุ่มตรวจจากห้างต่างๆ ตลาดสดและห้างออนไลน์ 62 ตัวอย่าง พบยาปฏิชีวนะตกค้างมากถึง 26 ตัวอย่างหรือ 41.93% กับอีกข่าวทางกรมอนามัย โดยนพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีออกมาเตือน ระบุข้อมูลผลตรวจการตกค้างสารเคมีในพืชผักที่จำหน่ายในท้องตลาด พบมีผักสด 10 ชนิดที่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริก แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักบุ้งจีน มะเขือ และผักชี
ข่าวยาปฏิชีวนะตกค้างใน“เนื้ออกไก่และตับไก่”นั้น กรมปศุสัตว์ออกโรงบอกให้ชาวบ้านไม่ต้องตื่นตระหนก ยืนยันเจ้าหน้าที่กรมได้ออกตรวจสอบมาตรฐานทั้งที่จุดจำหน่ายและย้อนกลับถึงฟาร์มเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยในอาหาร แต่ก็แนะให้เลือกซื้อเนื้อสัตว์จากฟาร์มมาตรฐาน ทั้งย้ำว่า การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์สุ่มครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 3 หมื่นตัวอย่างต่อปีและส่งตรวจทางห้องแลปที่ได้รับรองตามมาตรฐานสากล ISO 17025 เป็นที่ยอมรับในระดับโลก พบว่า สินค้าปศุสัตว์ไทยอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย ตามมาตรฐานสากลที่นานาชาติยอมรับ ...
ย้ำกันหนักแน่นว่า กระบวนการผลิตอุตสาหกรรมไก่เนื้อ กรมปสุสัตว์ได้กำกับดูแลอย่างเข้มงวด แต่ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาถกเถียงกับการตรวจสอบของภาคเอกชนอยู่บ่อยๆ ลองหาทางจูนกันหน่อยเป็นไร ถ้าทุกฝ่ายต่างก็ปรารถนาดีต่อผู้บริโภคจริงๆ
ส่วนเรื่องยากำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักสดปริมาณสูง คงเป็นอีกเรื่องที่หน่วยงานเกษตรของไทยยืนยันควบคุมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย แต่ชาวบ้านโดยเฉพาะผู้ห่วงใยสุขภาพ อยากเห็นความเข้มข้นในการดูแล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดจริงๆ จะมีมาตรการอะไรโชว์ให้เห็นได้ชัดๆ ช่วย“จัดให้”หน่อย และบอกกล่าวให้ชัดๆ ที
ชาวบ้านจะได้โล่งใจ ไม่ตื่นตระหนกอย่างที่พวกท่านชอบบอกครับ!
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี