3 ส.ค.61 นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) หรือโรงเรียนร่วมพัฒนา ว่า ที่ประชุมได้มีการรายงานความคืบหน้าการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของโรงเรียนร่วมพัฒนา 50 โรงเรียน ใน 30 จังหวัด ที่เร่ิมดำเนินการไปแล้ว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนและคณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนร่วมพัฒนา 3 โรงเรียน คือ โรงเรียนวัดจุฬามณี จ.อยุธยา , โรงเรียนวัดปลักไม้ลาย จ.นครปฐม และโรงเรียนกรับใหญ่ว่องกุศลกิจพิทยาคม จ.ราชบุรี ที่มีบริษัทเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุนภายในโรงเรียน และจากการตรวจเยี่ยมผลปรากฏว่านอกจากภาคเอกชนแล้ว ชุมชนในพื้นที่ก็เกิดความตื่นตัวและให้ความร่วมมืออย่างมาก เพราะรู้ว่าเรากำลังไปทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการปรับคุณภาพโรงเรียน ครู และนักเรียนให้ดีขึ้น รวมทั้งหน่วยงานราชการต่างๆ และกระทรวงศึกษาธิการ ก็เข้าไปสนับสนุนด้วย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ จะลงไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงเรียนในโครงการฯ ให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการตื่นตัวและไปให้กำลังใจ โดยในวันที่ 6 ส.ค.นี้ จะไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนวัดนาคู อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา และวันที่ 15 ส.ค.ที่ จ.เชียงราย
รมช.ศธ.กล่าวต่อว่า ส่วนหลักเกณฑ์การจ้างครูหรือผู้บริหารโรงเรียน ที่มาจากคนนอก ซึ่งยังคงมีปัญหาติดขัดอยู่นั้น ทาง ศธ.ก็ได้แก้ไขโดยได้ส่งเรื่องผ่านคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ซึ่งเป็นผู้อนุมัติ และ ก.ค.ศ.ก็อนุมัติแล้ว คาดว่าคงไม่มีปัญหาติดขัดเรื่องกฏระเบียบแล้ว เพราะได้มีการพูดคุยกันในการประชุมครั้งที่แล้ว และจะนำเรื่องเพื่อขออนุมัติ เช่น เรื่องการคัดเลือกผู้บริหาร การโยกย้ายครู และการเลื่อนวิทยฐานะเข้าที่ประชุม ก.ค.ศ.ในครั้งหน้านี้ด้วย
"เราต้องการครูจากภายนอก ครูที่มีความรู้ ความสามารถ หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ แต่สอนไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ตามระเบียบเดิม ตรงนี้ ก.ค.ศ.ก็จะมีการยกเว้นให้ ส่วนการคัดเลือกผู้อำนวยการโรงเรียนก็จะทำเป็นเกณฑ์กลาง สำหรับโรงเรียนร่วมพัฒนา ซึ่งโรงเรียนลักษณะนี้มีอยู่แล้ว เช่น กลุ่มโรงเรียนพิเศษ กลุ่มโรงเรียนจุฬาภรณ์ ที่เป็นการเรียนการสอนพิเศษ ก็จะนำเกณฑ์นี้มาใช้กับโรงเรียนร่วมพัฒนา ทั้งนี้เพื่อความคล่องตัว" รมช.ศธ กล่าว
และว่า อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคือเรื่องการติดตาม ประเมินผล และการทำวิจัย เพราะเป็นตัวที่จะบอกถึงความสำเร็จและความยั่งยืนของโครงการนี้ ดังนั้น จึงต้องมาการวางแนวทางในการติดตามประเมินผลกันว่าจะทำอย่างไร แต่จะต้องเป็นการพัฒนา ไม่ได้เป็นการไปสร้างภาระเพิ่ม เนื่องจากโรงเรียนร่วมพัฒนาเป็นการวางแผนและแนวทางเพื่อสร้างอนาคตของเด็ก และในเฟสที่ 2 นี้ได้มีบริษัทเอกชนหลายแห่งอยากเข้าร่วมโครงการและมีโรงเรียนเสนอตัวเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 20 โรงเรียน 10 โรงกระจายทั่วไป ส่วนอีก 10 โรงเรียนอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะมี นายมีชัย วีระไวทยะ กรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดจัดการศึกษารูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา เป็นประธาน คัดเลือก
ด้าน นายมีชัย กล่าวว่า ถือว่าการปฏิรูปการศึกษาเกิดขึ้นแล้ว โดยการปฏิรูปจากภายนอกด้วยการสนับสนุนจากภายใน ต่อไปนี้โรงเรียนต้องมีศูนย์กลางการเรียนรู้ สิ่งที่พัฒนา คือ ต้องการเพิ่มคุณภาพคน 3 กลุ่ม คือ ครู นักเรียน และคนในชุมชน จะเป็นโรงเรียนเตรียมอนาคตให้กับนักเรียน ต่อไปโรงเรียนจะต้องเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาชุมชน จะต้องทำให้ผู้ปกครองหายจน โดยโรงเรียนจะมีกองทุนเงินกู้ให้ ส่วนเงินก็ได้มาจากบริษัทที่สนับสนุนโรงเรียน แต่นักเรียนจะกู้ได้ ต้องทำโครงงานมาเสนอ ดังนั้น โรงเรียนในโครงการนี้จะมีบทบาทกว้างกว่าโรงเรียนทั่วไป นักเรียนทุกคนต้องเรียนรู้การทำธุรกิจ เพื่อเลี้ยงตนเองได้ และสามารถอยู่ในชุมชนได้โดยไม่อพยพออกไปอยู่นอกพื้นที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี