5 ส.ค.61 เว็บไซต์ alittlebuddha.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์วัดไทยในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รูปจากเฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์พุทธมณฑล และหมายเรียกพระราชรัตนมุนี (บุญเทียม มุสุ) หรือ บุญเทียม ญานินโท เลขาฯ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะหนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ในคดีเงินทอนวัด ล็อต 2
ภาพปรากฏตัวของพระราชรัตนมุนีดังกล่าว เฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์พุทธมณฑล ระบุว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.00 น. พระเดชพระคุณ พระธรรมโพธิมงคล เจ้าคณะภาค 14 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พิธีปิดงานปฏิบัติธรรมพระสงฆ์ และให้โอวาทกล่าวปิดงานในส่วนของพระสงฆ์ ในงานสัปดาห์ส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจำปี 2561 โดยมี ดร.สิทธิกร อ้วนศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธมณฑล เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ อาคารปฏิบัติธรรม โพธิญาณมหาวิชชาลัย พุทธมณฑล ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
ทั้งนี้ เว็บไซต์ยังได้เสนอรายงานคดีที่เกี่ยวข้องกับพระราชรัตนมุนีแบบ TIMELINE โดยระบุว่า 13 กรกฎาคม 2561 : กองปราบออกหมายเรียก เจ้าคุณบุญเทียม วัดพิชัยญาติ เลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ไปรับทราบข้อหาในคดีเงินทอนวัด แต่แปลก นอกจากเจ้าคุณบุญเทียมจะไม่ไปปรากฏตัวแล้ว ทางกองปราบเองก็อ้อมแอ้ม ไม่ยอมระบุว่ามีการออกหมายเรียกจริงหรือไม่ และถ้าไม่มาตามหมายเรียกจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
ทางวัดพิชัยญาติเองได้บอกกับนักข่าวว่า เจ้าคุณบุญเทียมไม่อยู่วัดนานหลายเดือนแล้ว และไม่มีใครพบตัว และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่า เจ้าคุณบุญเทียมหนีไปสึกที่เมืองนอกเหมือนเจ้าคุณแป๊ะแล้ว
27 กรกฎาคม 2561 : มีงานปฏิบัติธรรม เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา ที่พุทธมณฑล ผลปรากฏว่า เจ้าคุณบุญเทียมได้ไปร่วมงานในฐานะเลขานุการของงานด้วย (โพสต์ภาพและข้อมูลของงาน โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์พุทธมณฑล)
การแจ้งความในคดีเงินทอนวัดนั้น ดำเนินการโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเจ้าทุกข์ ส่วนเจ้าคุณบุญเทียมนั้น ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว แต่การที่ทั้งเจ้าทุกข์ทั้งผู้ต้องหาทำงานร่วมกันอยู่เป็นปกตินั้น มันก็ประหลาด ทั้งเลือกปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เผลอๆ ในบัญชีกรรมการมหาเถรสมาคมชุดใหม่ อาจจะมีชื่อ "เจ้าคุณบุญเทียม" ได้รับแต่งตั้งด้วยก็ได้ เพราะขนาดมีชื่อตกเป็นผู้ต้องหาในคดีเงินทอนวัด ยังร่วมงานกับสำนักพุทธฯ ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง และเมื่อทำงานให้แก่สำนักพุทธฯ ก็ถือว่ามีผลงาน ย่อมจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จเป็นธรรมดา
แต่ถามว่า ยุติธรรมสำหรับพระรูปอื่นๆ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวและได้รับโทษ ทั้งถูกจับกุมคุมขัง สั่งปลดออกจากตำแหน่ง และสละสมณเพศไปอย่างมากมาย หรือไม่
ถามว่า ประเทศไทยมีกี่มาตรฐาน กองปราบไม่ออกหมายเรียก แต่ขอศาลอาญาออกหมายจับ ส่งกำลังเจ้าหน้าที่นับร้อยเข้าปิดล้อมวัดตั้งแต่หัวค่ำ ก่อนปฏิบัติการล็อกตัวในตอนเช้าตรู่ คัดค้านการประกันตัว จับสึกใส่กางเกงนอนคุก เป็นอันเสร็จพิธีภายในวันเดียว
เลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ต้องคดีเงินทอนวัดเช่นกัน กองปราบออกหมายเรียก แต่ไม่การันตีว่าออกจริงหรือไม่ เพราะเจ้าคุณบุญเทียมไม่เห็นไปปรากฏตัวที่กองปราบ แต่ก็ไม่เห็นทางกองปราบจะทำอย่างไรต่อไป ผ่านมาได้หลายวันแล้ว ขณะเดียวกัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ของเจ้าคุณบุญเทียม กลับนิมนต์ไปร่วมงานปฏิบัติธรรมที่พุทธมณฑล ทำงานร่วมกันได้หน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้คนจึงสงสัยว่า ทำไมกฎหมายไทยใช้ไม่เหมือนกัน ? ถามไปยัง
1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์
2. พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ในฐานะเจ้าของสำนักงานพุทธมณฑล ซึ่งเป็นผู้นิมนต์เจ้าคุณบุญเทียม ผู้ต้องหา ไปร่วมงาน
และ 3. กองปราบปราม ในฐานะผู้ออกหมายเรียก ออกหรือไม่ออก เรียกหรือไม่เรียก เรียกแล้วไม่มาจะทำอย่างไร ฯลฯ ต้องตอบให้แก่สังคมไทยได้ทราบ อย่าโมเมเฉไฉ ไม่งั้นมีปัญหาแน่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี