6 ส.ค.61 ณ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในงานประชุมเพื่อนำเสนอผลการศึกษาโครงการพัฒนาชุดข้อมูลเพื่อติดตามและวัดผลการดำเนินการระดมทุนเพื่อการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำและกำชับให้กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ นำข้อมูลของแต่ละหน่วยงานเก็บไว้มารวมกันเพื่อวิเคราะห์และนำไปใช้แก้ไขปัญหาต่างๆ
ทั้งนี้ จากโครงการนำร่องของ 5 กระทรวง ประกอบด้วยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาและสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงศึกษาธิการ นำข้อมูลประชากรด้านต่างๆ ที่แต่ละกระทรวงจัดเก็บไว้ตามภารกิจหน้าที่ของตน มารวมกันเป็นฐานข้อมูลรวมขนาดใหญ่ (Big Data) มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กตั้งแค่แรกเกิดถึงอายุ 3 ปี
โดยโครงการนี้ใช้ข้อมูลที่เป็นบริบทแวดล้อมจากเด็กๆ ประมาณ 1.5 - 2 แสนคน อาทิ ข้อมูลสภาพพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ทั้งระดับการศึกษา การมีงานทำ รายได้รายจ่ายและหนี้สินในครัวเรือน รวมถึงสุขภาพ พร้อมกับนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ทำให้เริ่มรู้ว่าเด็กคนไหนอยู่ในความเสี่ยงระดับใดที่อาจจะไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ เรียงลำดับจากสีเขียวคือกลุ่มไม่เสี่ยง สีเหลืองคือกลุ่มปานกลาง และสีแดงคือกลุ่มเสี่ยงมาก
"ถามว่ารู้ไปทำไม รู้เพื่อกระทรวงสาธารณสุขเขาจะได้บำบัด ไม่ใช่บำบัดเด็กแต่เป็นบำบัดพ่อแม่ เพื่อให้พ่อแม่มีความพร้อมก่อนที่ลูกจะคลอดออกมาด้วยซ้ำไป เพราะเราพูดกันมาเป็นสิบๆ ปีว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นี่คือ 1 มาตรฐานแก้ไขสังคมผู้สูงอายุในอนาคต คือทำให้เด็กซึ่งน้อยลงกลายเป็นเด็กสีเขียวแทนที่จะเป็นสีแดง หรือดีหน่อยก็สีเหลือง อันนี้ถ้าไม่มี Big Data ทำไม่ได้" นายพิเชฐ กล่าว
รมว.ดีอี กล่าวต่อไปว่า อยากให้ทุกหน่วยงานช่วยกันจัดระบบฐานข้อมูลที่หน่วยงานของตนรับผิดชอบให้พร้อม ขณะเดียวกันต้องฝากให้สำนักงานสถิติแห่งชาติช่วยเป็นหน่วยประสานงาน โดยไม่ต้องรอให้แต่ละหน่วยงานมาพบ แต่สำนักงานสถิติแห่งชาติต้องทำงานเชิงรุกเข้าหาหน่วยงานต่างๆ มากขึ้น ชวนกันมาร่วมจัดทำฐานข้อมูล นำข้อมูลหลายๆ ตัวมายำรวมกันเพื่อให้ออกมาเป็นความรู้ และหากจะใช้กระบวนการดิจิตอล ดีอี ก็พร้อมสนับสนุน
ซึ่งทางดีอี อยู่ระหว่างจัดตั้งหน่วยงาน SDU (Service Delivery Unit) เพื่อให้บริการทำ Big Data กับกระทรวงต่างๆ โดยรอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ให้ความเห็นชอบ แต่ก็ยอมรับว่าหาคนทำงาน Data Scientist หรือ Data Engineer ยากมาก ในอนาคตบุคลากรประเภทนี้จำเป็นกับองค์กรเพราะหากไม่มีแล้วการดูแลข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์จะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ดีอีจะพยายามผลิตบุคลากรสายงานดังกล่าวเผื่อไว้สำหรับส่งไปช่วยเหลือหน่วยงานต่างๆ
"สิ่งต่างๆ ที่เราทำอยู่ช่วงนี้ หากเราทำให้เร็วและเริ่มสร้างคุณภาพในมิติของงาน ผมคิดว่าประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากจุดที่เราไม่พอใจไปเป็นจุดที่เราพอใจ ถามว่าพอใจอะไร พอใจที่ประชาชนมีความเหลื่อมล้ำน้อยลง พอใจที่ทั้งประเทศมี Competitiveness (ศักยภาพในการแข่งขัน) ทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น และพอใจที่ทั้งความเหลื่อมล้ำน้อยลงและเศรษฐกิจดีขึ้น ทุกอย่างยั่งยืนยาวนาน" นายพิเชฐ กล่าวย้ำ
ขณะที่ นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า การระดมทุนเพื่อการพัฒนา ภาษาอังกฤษคือ (Financing for Development : FfD) เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ที่องค์การสหประชาชาติ (UN) คาดหวังให้ประเทศต่างๆ ทำให้เกิดผลขึ้นได้ภายในปี 2573 ทั้งนี้ FfD อาจไม่คุ้นหูนักเท่ากับ SDGs โดย SDGs นั้นคือเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง ส่วน FfD นั้นคือกระบวนการว่าจะนำพาไปให้ถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร
ซึ่งแม้ชื่อภาษาอังกฤษของ FfD จะมีคำว่า Financing อันหมายถึงการเงิน ทำให้คิดกันว่าจะไปให้ถึงเป้าหมาย SDGs นั้นต้องใช้เงินเท่าไหร่และใช้กับเรื่องใดบ้าง แต่ FfD ไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการออกแบบกฎกติกาจัดสรรทรัพยากร จัดกระบวนทัศน์ต่างๆ โดยประกอบด้วย 3 ส่วน คือผู้กำหนดนโยบายว่าประเทศจะเดินไปในทิศทางใด ผู้ปฏิบัติคือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และมีผู้ติดตามวัดผลว่าสิ่งที่ทำไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
"การติดตามวัดผลจะต้องมาเริ่มคิดกันก่อนว่ากรอบแนวคิดจะเป็นอย่างไร ตัวชี้วัดต่างๆ ต้องเป็นอย่างไรบ้าง พอทางสำนักงานสถิติแห่งชาติได้รับมอบหมายจาก ครม. (คณะรัฐมนตรี) แล้วก็ทำการจัดจ้าง TDRI เป็นที่ปรึกษา ให้ช่วยคิดกรอบการติดตามและวัดผล สรุปได้ 3 เรื่อง 1.กรอบและวิธีการติดตามและวัดผลว่าจะต้องเป็นอย่างไร 2.ข้อมูลสถิติที่มีอยู่เป็นอย่างไร สามารถสนับสนุนตัวชี้วัดที่คิดขึ้นมาได้หรือไม่ และ 3.ระบบ IT (เทคโนโลยีสารสนเทศ) ต้องมีหน้าตาเป็นอย่างไรที่จะสนับสนุนการติดตามและวัดผลนั้นให้สามารถดำเนินการได้จริง" นายสมชัย ระบุ
นายสมชัย ยังกล่าวอีกว่า แม้ FfD จะเป็นของใหม่สำหรับสังคมไทย แต่การจะตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ขึ้นมาดูแลอาจไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้มีอำนาจ จึงขอใช้กลไกที่มีอยู่แล้วคือคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อน SDGs และมี 3 คณะอนุกรรมการ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ในฐานะอนุฯ คณะที่ 1 ดูแลงานด้านแผนและยุทธศาสตร์ และให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในฐานะอนุฯ คณะที่ 3 ดูแลงานด้านติดตามวัดผล
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวควรมีคณะกรรมการด้านเทคนิคขึ้นมาดูแล เพราะเมื่อโครงการนี้จบลงและ TDRI ไม่ได้อยู่ร่วมโครงการแล้ว คณะกรรมการด้านเทคนิคสามารถรับช่วงต่องาน เช่น ตรวจสอบว่าตัวชี้วัดต้องปรับปรุงอะไรบ้างหรือไม่ โดยคณะกรรมการด้านเทคนิคนี้จะไม่ได้มีเพียงสำนักงานสถิติแห่งชาติ แต่เป็นหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมทำงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี