มองรากเหง้าวิถีคนไทย  ต้นตอสังคม‘วินัย(ไม่)นิยม’

มองรากเหง้าวิถีคนไทย ต้นตอสังคม‘วินัย(ไม่)นิยม’

วันอังคาร ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“ไร้วินัย”, “มักง่าย”, “ไม่เคารพกฎระเบียบ” เป็นถ้อยคำที่หลายคนพูดถึงเสมอเกี่ยวกับ “นิสัยคนไทย” ทั้งในหมู่ คนไทยเองที่รับรู้อยู่เต็มอกและเป็นภาพลักษณ์ที่ชาวโลกได้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ในความเป็นจริงระบบกฎหมายของไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าบรรดาประเทศที่ได้ชื่อว่าเจริญแล้วทั้งหลายหากพิจารณาตามตัวอักษร ทว่าในความเป็นจริงกลับเป็นคนละเรื่อง และที่ผ่านมาถึงจะพยายามแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย แต่ก็ดูจะไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นบางทีอาจต้องย้อนกลับมาดูกันว่า “รากเหง้าสังคมไทยเป็นอย่างไร?”ดังเรื่องเล่าจากงานเวทีสาธารณะว่าด้วยหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน จัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่ง ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า อาจจะต้องทำความเข้าใจ “วัฒนธรรมของสังคม” เสียก่อน “สังคมนั้นมีอะไรเป็นคุณค่าหลัก?” คาดหวังให้สมาชิกของสังคมเป็นคนอย่างไร?


เช่น หากใครคนหนึ่งไปอยู่ใน “ถิ่นโจร” สังคมที่มองการลักวิ่งชิงปล้นเป็นเรื่องปกติ เท่ากับว่า “การเป็นโจรคือคุณค่าของสังคมนั้น” และเมื่อใครคนนั้น “พยายามจะเป็นคนดี” อาทิ ไม่ไปร่วมปล้นกับเขาด้วยหรือแจ้งข่าวกับตำรวจ “บุคคลดังกล่าวก็จะถูกเพ่งเล็ง” จากสมาชิกคนอื่นๆหรือหนักกว่านั้นคือ “ถูกหมายหัวต้องกำจัด” เพราะคนคนนั้นคือ “ตัวปัญหา” ของสังคมนั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครอยู่ใน “ชุมชนคนดี” ศีลธรรมคุณธรรมการเคารพกฎหมายคือค่านิยมหลักของสังคมนั้น คนไร้ศีลธรรมหรือชอบละเมิดกฎหมายย่อมต้องถูกจัดการบางอย่างเช่นกัน

“ถ้าเราคาดว่าคนอื่นจะทำอย่างไรเราก็จะทำแบบนั้น คนอื่นก็เหมือนกัน เช่นถ้าท่านไปห้องน้ำแล้วไม่คิดว่าคนอื่นจะต่อคิวท่านก็จะไม่ต่อคิว แต่ถ้าคิดว่าคนอื่นต่อคิวท่านก็จะต่อคิวด้วย สุดท้ายทุกคนก็จะต่อคิวทั้งหมดหรือไม่ต่อคิวทั้งหมด อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือคิดว่าคนอื่นจะโกงท่านไหม? ถ้าคนอื่นจะโกงท่านแล้วท่านจะอยู่ได้ท่านก็ต้องโกงเขาก่อนหรือไม่ก็ต้องระวังตัวมากๆ แต่ถ้าท่านคิดว่าคนอื่นซื่อสัตย์หมด ท่านก็จะซื่อสัตย์เช่นกัน ในทางเศรษฐศาสตร์มันมีแค่ 2 จุด คือสังคมดีกับสังคมไม่ดี จะไม่ออกตรงกลาง ไม่ดีก็เลวไปเลย” อาจารย์ธานี กล่าว

อาจารย์ธานี กล่าวต่อไปว่า สังคมหนึ่งประกอบด้วยกลไก 2 แบบ คือ 1.กระบวนการจัดการความดี หมายถึง การอบรมสั่งสอน ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นถึงคุณค่าที่สังคมนั้นให้ความสำคัญ เช่น กตัญญู อ่อนน้อม ขยัน ซื่อสัตย์ ฯลฯ และแต่ละสังคมอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ อาทิ บางสังคมอาจให้คุณค่ากับความกตัญญูมากกว่าความยุติธรรม ดังนั้นเมื่อพ่อแม่ทำผิดลูกก็ต้องช่วยพ่อแม่ก่อน แม้จะกระทบกับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบก็ตาม

กับ 2.กระบวนการจัดการความจริงซึ่งอาจไม่ใช่ความจริงแท้ แต่เป็นข้อตกลงที่สังคมนั้นกำหนดขึ้นให้สมาชิกทุกคนต้องยึดถือ กฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ก็เกิดมาจากกระบวนการนี้ แต่กลไกทั้ง 2 แตกต่างกันตรงที่ “อย่างแรกเน้นความเชื่อ” เชื่อแล้วปฏิบัติตาม “ไม่ต้องคิดเยอะ” ก็อยู่ในสังคมได้ สอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ขณะที่ “อย่างหลังเน้นความคิด” ใช้การพิจารณา ถกเถียงอย่างมาก “หาข้อสรุปว่าสังคมควรจะไปในทิศทางใด” เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมนั้นๆ

“การจัดการความดีไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะ มันทำให้คนมีความสุข เช่น คนถูกสั่งสอนให้เชื่อเรื่องบุญ-กรรม และการทำดีหรือทำชั่วของเขาส่งผลต่อการรับบุญ-กรรม ทำให้เขามีหรือไม่มีความสุขคนเกิดมายากจน ถูกกระทำจากสังคมอย่างไม่ยุติธรรม เขาคิดว่าทำบุญมาแค่นี้ เขาคิดว่าเกิดมามีกรรมหรือเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน แต่เขาเดินไปทำบุญที่วัดแล้วเขามีความสุขกับสิ่งที่ทำ แปลว่าระบบการจัดการในความดีทำให้คนมีความหวัง คนยังทำดีในสังคมที่ไม่ยุติธรรมหรือไม่เปิดโอกาสให้ก้าวหน้า

ถ้าท่านดูรายงานของ UN (องค์การสหประชาชาติ) ท่านจะพบว่าไทยเป็นประเทศที่คนมีความสุขสูงมากภายใต้ความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก ซึ่ง UN  ไม่เข้าใจ คือเวลามองประเทศอื่นที่ความเหลื่อมล้ำสูงความสุขเขาต่ำหมด เพราะตัวบุญ-กรรม มันค้ำยันความไม่เป็นธรรมของสังคมให้เขาอยู่ได้ ส่วนการจัดการความจริงทำให้สังคมพัฒนาได้ เพราะเวลาที่ท่านมีข้อตกลงร่วมกัน มันส่งผลต่อการมีเป้าหมายร่วมกัน มีแนวทางปฏิบัติร่วมกัน สังคมพัฒนาได้คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น ทั้ง 2 กลไกทำงานไม่เหมือนกันอันหนึ่งเพิ่มความสุขอีกอันเพิ่มการเติบโต”อาจารย์ธานี ยกตัวอย่าง

ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ - ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์

คำถามต่อไป “แล้ววัฒนธรรมของสังคมไทยเป็นอย่างไร?” อาจารย์ธานี สรุปสั้นๆ ว่า “คนไทยต่อรองกันได้แทบทุกเรื่อง” ตั้งแต่การไปตลาดแล้วแม่ค้าตั้งราคาสินค้าไว้ 100 บาท คนหนึ่งพูดจานอบน้อมอีกคนพูดจาห้วนๆ คนที่นอบน้อมอาจสามารถขอต่อราคาซื้อได้ในราคาต่ำกว่า 100 บาท ไปจนถึงการทำผิดกฎจราจรที่หลายคนจะใช้คำพูดอ้อนวอนขอกับตำรวจให้ละเว้นการออกใบสั่งหรือออกใบสั่งแต่เขียนให้ปรับในจำนวนเงินน้อยๆ

หรือ “ความถูกต้องอาจไม่เท่าความถูกใจ” เช่น เจ้าของบริษัทมีพนักงานคนหนึ่งทำงานดี นิสัยดี และยังมีความกตัญญูดูแลพ่อแม่แก่เฒ่า วันหนึ่งพนักงานคนนี้ขโมยเงินของบริษัทไปและถูกจับได้เจ้าของบริษัทอาจรู้สึกหนักใจเพราะอย่างไรก็ต้องลงโทษเพื่อรักษากฎระเบียบขององค์กร แต่จะลงโทษอย่างไรได้บ้างเพราะ “เห็นใจ-สงสาร” ที่พนักงานคนนี้ประพฤติดีมาตลอด บทสรุปของสังคมไทยมักจบด้วยการที่บุคคลลักษณะนี้จะถูกลงโทษเพียงสถานเบา ซึ่งก็พบได้หลายๆ เหตุการณ์ในประเทศไทย

“ท่านขับรถไปเจอสี่แยกแรกบอกขับรถปฏิบัติตามกฎจราจร ขับไปสี่แยกที่ 2 บอกขับรถมีน้ำใจให้กัน ขับไปสี่แยกที่ 3 ติดไฟแดงรอเลี้ยวขวามีรถมาแทรกท่านจะทำอย่างไร? ปฏิบัติตามกฎจราจรหรือมีน้ำใจ? ท่านอาจจะลังเลแต่คนไม่ลังเลคือคนแทรกเพราะเขาจะถามหาน้ำใจจากท่าน เนื่องจากสังคมยื่นเครื่องมือให้เขาอ้างได้ ท่านจะเห็นภาพแบบนี้มีอยู่เต็มสังคมไทยไปหมด เช่น ทุนนิยมพวกพ้องที่ภาครัฐต้องทำตามกฎหมายแต่ก็อยากเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ก็ต้องมีรูปแบบการแบ่งปันผลประโยชน์และการต่อรอง” อาจารย์ธานีระบุ

อีกคำถามที่ตามมา “วัฒนธรรมของสังคมเปลี่ยนได้ไหม?” คำตอบคือเปลี่ยนได้แต่ต้องมีวิธีการ ซึ่ง ผศ.ดร.ปารีณาศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปไว้ดังนี้คือ 1.กฎที่ออกมาต้องมีระบบรองรับให้สามารถใช้ได้จริงด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ว่ามีปัญหา เช่น “ห้ามนั่งท้ายรถกระบะ” ที่แม้จะมีกฎหมายแต่ประชาชนก็ต่อต้าน เนื่องจากไม่มีการวางระบบว่าหากไม่ให้นั่งท้ายรถกระบะแล้วจะให้ผู้มีรายได้ไม่มากนักเดินทางกันอย่างไร?

เช่นเดียวกับ “หาบเร่แผงลอย”ที่ก็มีปัญหาทั้งความไม่ชัดเจนของผู้มีอำนาจรับผิดชอบ ใครดูแลไม่ให้ขายของบนทางเท้า? เทศกิจ ตำรวจ หรืออื่นๆ รวมถึงไม่ได้หาทางออกให้ด้วยว่าหากไม่ให้ขายบนทางเท้าแล้วจะให้ไปขายที่ไหน? จึงเกิดแรงต้านเช่นกัน ทั้ง 2 กรณีเป็นตัวอย่างของกฎหมายที่ขัดกับวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน เพราะไม่ได้ออกแบบกลไกรองรับการปฏิบัติตามไว้ครบถ้วนทุกมิติ กฎหมายจึงใช้ไม่ได้จริงและผู้คนก็ไม่เคารพ

2.ต้องไม่มีอภิสิทธิ์ชน ไม่ว่าใครก็ต้องอยู่ภายใต้กฎนั้นเหมือนกัน เช่น ในโรงเรียนมีกฎว่าอย่าทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง หรือขี่มอเตอร์ไซค์ต้องสวมหมวกกันน็อก หากครูยังทิ้งขยะเกลื่อนกลาไม่ทิ้งในถังขยะ หรือครูไม่สวมหมวกกันน็อกเมื่อขี่มอเตอร์ไซค์ให้นักเรียนเห็นเสียเอง แล้วจะไปบอกไปสอนให้นักเรียนปฏิบัติตามนั้นได้อย่างไร? เพราะเมื่อมีสิทธิพิเศษความเหลื่อมล้ำก็เกิดขึ้น คนที่เหลือย่อมรู้สึกต่อต้านและมองว่าไม่จำเป็นต้องทำตามกฎนั้น

“ปัจจัยสำคัญที่พบว่าจะสร้างวัฒนธรรมได้คือต้องการการมีส่วนร่วม ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกัน ต้องเอาคนเข้ามาร่วมและต้องให้คนเหล่านั้นมีพลังที่จะทำและทน นอกจากนั้นก็มีการให้การศึกษา ใช้สื่อต่างๆ ยิ่งตอนนี้มี Social Media (สื่อออนไลน์) ทำให้การเผยแพร่กิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างวัฒนธรรมนั้นทำได้เร็ว และต้องมีผู้นำที่ต้องทำเป็นตัวอย่าง เพราะถ้าผู้นำไม่ทำแล้ว ไม่มีทางที่จะไปบอกให้คนอื่นทำได้” คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯฝากข้อคิด

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top