17 ส.ค.61 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้
1.เห็นชอบให้ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษตามข้อ 3 ของกฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยอำนาจการลงโทษ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน พ.ศ.2561 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 20 สิงหาคม 2561 มีอำนาจสั่งลงโทษลดเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ครั้งหนึ่งไม่เกินหนึ่งขั้นไปพลางก่อน จนกว่ากฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้
2.เห็นชอบให้นำการประเมินบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ที่ นร 1006/ว 5 ลงวันที่ 27 เมษายน 2561 มาใช้สำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2)
3.เห็นชอบให้แก้ไขข้อความในหลักเกณฑ์และวิธีการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอน ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ ศธ 0206.7/ ว 22 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ดังนี้
1) ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยให้ประเมินตนเอง พร้อมทั้งจัดทำแผนพัฒนาตนเองเป็นรายปีตามแบบที่ส่วนราชการกำหนด และเข้ารับการพัฒนาตามแผนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ในรอบ 5 ปี ที่ขอรับการประเมินให้มีและเลื่อนวิทยฐานะ ต้องมีจำนวนชั่วโมงการพัฒนา 100 ชั่วโมง หากมีจำนวนชั่วโมงการพัฒนาไม่ครบ 100 ชั่วโมง แต่ไม่น้อยกว่า 60 ชั่วโมง ก็สามารถนำจำนวนชั่วโมงการมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ส่วนที่เกิน 50 ชั่วโมงในแต่ละปี มานับรวมเป็นจำนวนชั่วโมงการพัฒนาให้ครบ 100 ชั่วโมงได้ 2) หลักสูตรการพัฒนาต้องมีองค์ประกอบด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านความเป็นครู และด้านคุณลักษณะที่คาดหวัง โดยต้องเป็นหลักสูตรที่สถาบันคุรุพัฒนารับรองตามมาตรฐานวิทยฐานะ หรือตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด
ทั้งนี้ สามารถนำจำนวนชั่วโมงการพัฒนาที่เข้ารับการอบรมในสถาบันวิชาการอื่นๆ เสนอ ก.ค.ศ.พิจารณารับรองได้ โดยให้ส่วนราชการเสนอหลักสูตรพัฒนาเพื่อให้ ก.ค.ศ.พิจารณารับรอง
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังรับทราบความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปเพื่อการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประประเภท โดย ก.พ.จะเป็นผู้ดำเนินการสอบภาค ก ทั้งหมด ซึ่งได้มีการหารือร่วมกันกับผู้แทนจากองค์กรกลางบริหารงานบุคคลทุกประเภทแล้ว โดยภาพรวมมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การดำเนินการเช่นนี้จะทำให้บุคลากรภาครัฐมีมาตรฐานเดียวกัน มีความโปร่งใสในการเข้าสู่ระบบราชการ ลดภาระผู้สนใจเข้ารับราชการในภาพรวม ทั้งค่าใช้จ่าย เวลา และการเดินทาง และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดำเนินการสอบ โดยปฏิทินการสอบ เห็นควรให้มีการสอบอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง สำหรับภาค ข และภาค ค เป็นรายละเอียดที่แต่ละองค์กรจะไปกำหนดให้มีความสอดคล้องกับความต้องการบุคลากรของตนเอง
"วันนี้ก็คลายล็อคเรื่องดีๆ 2 เรื่อง เรื่องแรก การอบรมครู คือ แทนที่กำหนดให้ปีหนึ่งอบรม 20 ชั่วโมง ก็สามารถใช้รวมกันได้ 5 ปี ไม่เกิน 100 ชั่วโมง สำหรับคนที่ไม่อยากออกไปอบรมนอกพื้นที่ ก็ให้ใช้ชั่วโมง PLC ที่ทำเกินมานับรวมได้ ดังนั้น คนที่จอขออบรมครอสต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน นอกเหลือบูธแค้มป์ หรือคูปองพัฒนาครู ก็สามารถนำผลการอบรมมาเสนอหน่วยงานให้รับรองได้ ทั้งนี้ เพื่อยืดหยุ่นให้ครูเกิดการพัฒนาตนเอง ส่วนเรื่องดีๆ อีกเรื่อง คือ ประมาณปี 2563 หรืออาจจะเร็วกว่านั้น การสอบภาค ก โดยหน่วยงาน ก.พ.เพียงหน่วยงานเดียว ในการสอบบรรจุครูผู้ช่วย และข้าราชการทุกระดับของ ศธ.และเป็นข้อสอบกลางแห่งเดียวของประเทศ โดยปฏิทินการสอบมีอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ส่วนภาค ข และภาค ค ให้แต่ละองค์กรเป็นผู้กำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการบุคลากรของแต่ละที่ ดังนั้น หน่วยงานต้องเตรียมตัวประชาสัมพันธ์ และเตรียมแก้กฏระเบียบต่างๆ ในการรับสมัครครูผู้ช่วย และบุคลากรต่างๆ ในอนาคต" รมว.ศธ.กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี