ฟ้องศาลปกครอง! จี้รัฐแบน‘3สารพิษ’ ปูด คกก.วัตถุอันตรายมีตัวแทนบริษัทข้ามชาติ
20 ส.ค.61 ที่มูลนิธิชีววิถี(ไบโอไทย) นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการไบโอไทย ร่วมกับมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค แถลงว่า มีความไม่โปร่งใสของมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่ให้ใช้ 3 สารพิษ คือ พาราควอต คอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ต่อไปเมื่อวันที่ 23 พ.ค. ทำให้กลุ่มเกษตรทางเลือกและภาคเอกชนเคลื่อนไหวต่อต้านกว่า 700 องค์กร โดยนายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะทำงานชุดใหม่ขึ้นมาศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ภายใน 60 วัน จะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 22 ส.ค.นี้ จึงเรียกร้องให้การตัดสินใจของคณะทำงานฯปกป้องสุขภาพประชาชน
ทั้งนี้ หากย้อนรอยเดิมจะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากทุกภาคส่วน เพราะเท่าที่เห็นรายชื่อมีกรรมการบางคนมีผลประโยชน์ทับซ้อน ที่เป็นตัวแทนมาจากสมาคมตั้งขึ้นโดยบริษัทข้ามชาติร่วมเป็นกรรมการในชุดนี้ด้วย ดังนั้นถือว่ามีผู้มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และกรรมการบางคนเป็นอดีตข้าราชการ แม้เป็นนายกสมาคมที่ไม่เกี่ยวกับสารเคมี แต่ค้นข้อมูลแล้วพบว่าเป็นสมาชิกสมาคมแห่งหนึ่งที่ตั้งโดยบริษัทข้ามชาติ รวมถึงมีตัวแทนจากเกษตรกร เคยเป็นเลขาสมาพันธุ์ที่เคยยอมรับเองว่าเกี่ยวข้องกับบริษัทข้ามชาติ
“ขอกดดันนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงาน อย่าย้อนกลับแบบเดิม ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งก่อนหน้านี้ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติอัปยศ ซึ่งมูลนิธิฯจะนำประชาชนได้รับผลกระทบ 3 สารเคมี ร่วมกันฟ้องศาลปกครองไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้ รวมทั้งฟ้องร้องตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย 2535 เพราะพบว่ามีกรรมการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ในคณะกรรมการวัตถุอันตรายด้วย พร้อมกับฟ้องเรียกค่าเสียทางแพ่งด้วย เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา เพราะปัญหาการเจ็บป่วยเรื้อรังหลายโรคมีสาเหตุมาจากสารพิษร้ายแรง แต่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ไม่นำไปพิจารณา รัฐบาลยังได้ลากเรื่องตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ จริงๆควรยุติตั้งแต่มติของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือน เม.ย.60” นายวิฑูรย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้มาจากโครงสร้างของคณะกรรมการที่ให้อนุญาต หรือยกเลิก ไม่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่จะตัดสินใจ แบบหรือไม่แบนได้ข้อมูลมาจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) นำเสนออย่างไร ก็ตัดสินใจตามนั้น ซึ่ง กษ.ไม่มีความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม การแบนจึงยากมาก อีกทั้งตัวแทนในคณะกรรมการฯกลับเป็นผู้จัดการสมาคมบางแห่งที่ค้าสารพิษ ดังนั้นข้อเรียกร้องว่ามีความจำเป็นต้องยกเลิกระบบกฎหมายทั้งหมดในเรื่องนี้ ให้อำนาจการแบน เป็นของหน่วยงานดูแลสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับประเทศสหรัฐฯ อยู่กับสำนักงานสิ่งแวดล้อม ประเทศบราซิลอยู่กับกระทรวงสาธารณสุข
ผอ.ไบโอไทย กล่าวอีกว่า คนที่รับผิดชอบโดยตรงคือนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถยืดเวลาต่อไปได้ ผลออกมาอย่างไรรัฐบาลต้องรับผิดชอบ ขณะนี้ข่าวสารแพร่หลายมากในเรื่องสารพิษวัตถุอันตราย จะเห็นว่านายกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรฯ เห็นด้วยการแบน แต่ห่วงว่าชาวบ้านยังใช้สารเหล่านี้อยู่ ขอให้พวกเรามาช่วยสร้างความเข้าใจชาวบ้าน ถ้าอย่างนั้นจะมาบริหารกระทรวงเกษตรเอง ซึ่งพื้นที่ 2 ล้านไร่ส่งเสริมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรได้รับเงินให้เปล่า 2 พันบาทต่อไร่ ควรหาทางออกลดใช้สารเคมีไปด้วยจะดีต่อสุขภาพเกษตรกรด้วย ทั้งนี้ยังมีกระแสคัดค้าน พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน ถูกดึงออกจาก ครม. เพราะโดนต้านจากกลุ่มใช้สารพิษ
นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า จะเผยแพร่ผลสรุปของผู้บริหาร 4-5 หน้า ที่นำไปสู่การลงมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ให้ใช้ 3 สารเคมีต่อไป โดยมีเรื่องความเสี่ยง ทางเลือก ความเห็นชี้นำ รวมทั้งรายงานการประชุมอนุกรรมการ 13 ครั้ง เบื้องหลังการตัดสินใจด้วยเหตุผลอะไร 1.กรณีสารพาราควอต อ้างว่ายึดจับดินได้ดีมีโอกาสแพร่ในสิ่งแวดล้อมได้น้อย ไม่มีผลระบบประสาทและโรคเนื้อเน่า ผู้ได้รับสารพิษจงใจฆ่าตัวตาย
2.คอร์ไพริฟอส พบปัญหาการตกค้างในอาหาร และสิ่งแวดล้อม เกิดจากเกษตรกรใช้ไม่ถูกต้อง ระบุว่ามีพิษปานกลาง ไม่ส่งผลระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ แต่กระทบต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กทารก
3.ไกลโฟเซต ในส่วนข้อมูลก่อโรคมะเร็ง ยังไม่สรุปได้เพราะการตกค้างในมนุษย์ ยังมีตัวอย่างน้อย
สรุปว่า 3 สารในแต่ละสารไม่มีความเสี่ยงในการบริโภคยังไม่มีสารอื่นทดแทนที่ดีกว่า เป็นเหตุผลการอนุญาตใช้ 3 สารต่อไป
นอกจากนี้ พบว่ารายงานฉบับนี้ไม่ชอบมาพากล จงใจเลือกข้อมูลที่สนับสนุนใช้ได้ ซ่อนข้อมูลผลกระทบ ปิดบังความเสี่ยง ไม่รับงานวิจัยใหม่ๆ เลือกใช้ข้อมูลของบรรษัท ละเลยสารทางเลือกที่ดีกว่า และชี้นำความเห็นของกรรมการ เช่น พาราควอต สรุปโดยสถิติผู้ป่วย จากศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี เสียชีวิตร้อยละ52 ได้รับพิษจากทางปาก ฆ่าตัวตาย โดยมีการปิดบังส่วนเป็นพิษเฉียบพลันมากกว่าสารคาโบฟูราน 43 เท่าในผู้ป่วยโรคพาร์คินสัน และผู้ใช้ประกอบอาชีพเกษตรด้วยการพ่นฉีด สัมผัสทางผิวหนัง เสียชีวิตร้อยละ 8.19 ไม่มียาถอนพิษ โดยไม่พิจารณาผลวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทำการวิจัย จ.หนองบัวลำภู มีสารตกค้างสูงทั้งในหอยกาบน้ำจืด ปูนา โดยคณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้ประสานให้กระทรวงเกษตรฯไปเก็บผลกระทบใหม่ แต่เป็นคนละช่วงกัน
รวมทั้งไม่นำผลการตรวจเด็กทารกขี้เทาของ ม.มหิดล ร้อยละ55 จากแม่ 53 คน ที่มาจากครอบครัวเกษตร ทำให้เห็นว่าถ่ายทอดจากแม่ไปสู่เด็กชัดเจน ซึ่งในต่างประเทศพบเพียงร้อยละ 5.2 เท่านั้น อีกทั้งกรมวิชาการเกษตร ได้เก็บตัวอย่างพบสารตกค้างพืชผัก ชะอม ตำลึง มะเขือเปาะ แต่ไม่ได้มีการพูดถึง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี