ไม่พก‘ใบขับขี่’ส่งศาลปรับ!! กางสารพัดสถิติหนุน กม.ใหม่เพิ่มโทษ หวังลดสูญเสีย
24 ส.ค.61 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผบก.ส.3 ในฐานะคณะทำงานแก้ไขปัญหาจราจร , พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. , นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก , รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่ง ประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย , นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย , นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ ผู้จัดการแผนงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนน และรองประธาน สอจร. ร่วมแถลงข่าวการแก้ไขกฎหมาย กรณีโทษความผิดเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถ เพื่อสร้างเสริมวินัยการขับขี่ ลดสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ที่เกิดจากการไม่มีใบอนุญาตขับรถ หวังเพิ่มความตระหนักและรับผิดชอบต่อสังคม
นายกมล กล่าวว่า กฎหมายด้านการขนส่งทางบกฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2522 ซึ่งการขอแก้ไขพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ดังกล่าวจำเป็นต้องมีการปรับเนื้อหาให้มีความทันสมัย และให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้มีส่วนในการสร้างความตระหนักและรับผิดชอบต่อสังคม
ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย พบว่า กลุ่มผู้ขับขี่ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ มีโอกาสการเสียชีวิตร้อยละ 34 สูงกว่ากลุ่มผู้ขับขี่ที่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ถึง 2 เท่า และจากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15-19 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงสุดเฉลี่ยปีละ 1,688 คน
นอกจากนี้ จากการศึกษาจากต่างประเทศที่เป็นที่ยอมรับด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา พบว่า กรณีความผิดเกี่ยวกับการขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถในประเทศญี่ปุ่น มีโทษปรับไม่เกิน 300,000 เยน (88,000 บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี และถูกตัดแต้ม 12 คะแนน ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกา มีโทษปรับไม่เกิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (800,000บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี และถูกบันทึกประวัติตลอดชีวิต
นายกมล กล่าวอีกว่า เพื่อให้ผู้ขับขี่ตระหนักและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดอุบัติเหตุและความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของ กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งรวมเข้าเป็นฉบับเดียวกัน โดยปรับปรุงรายละเอียดของกฎหมายให้เป็นเครื่องมือในการควบคุมกำกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ให้มากขึ้น รวมถึงปรับบทลงโทษกรณีผู้ขับขี่กระทำผิด
สำหรับความผิดเกี่ยวกับการขับรถโดยไม่แสดงใบอนุญาตขับรถ เสนอให้ปรับโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท จากเดิมที่ปัจจุบันตาม พ.ร.บ.รถยนต์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท และ พ.ร.บ.ขนส่ง จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท
ความผิดเกี่ยวกับการขับรถในระหว่างใบอนุญาตสิ้นอายุ ถูกพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต หรือถูกยึดใบอนุญาต ปรับโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท จากเดิมตาม พ.ร.บ.รถยนต์มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท พ.ร.บ.ขนส่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท และ พ.ร.บ.จราจร มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ ไม่เกิน 40,000 บาท
ความผิดเกี่ยวกับการขับรถโดยไม่แสดงใบอนุญาต ปรับโทษสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท จากเดิมตาม พ.ร.บ.รถยนต์ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท และ พ.ร.บ.ขนส่ง ปรับไม่เกิน 5,000 บาท
นายกมล ระบุว่า ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฉบับใหม่อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ซึ่งการเสนอแก้ไขปรับเพิ่มโทษกรณีความผิดดังกล่าว จะทำให้การพิจารณาโทษตามฐานความผิดอยู่ในดุลพินิจของชั้นศาล ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ตระหนักและปฏิบัติตามกฎจราจรมากขึ้น อย่างไรก็ตามการเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ส่วนสำคัญอยู่ที่ผู้ขับขี่ ซึ่งต้องตระหนักถึงความปลอดภัยและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
ขณะที่ นพ.ธนะพงศ์ ได้นำเสนอสถิติเรื่องของความสูญเสียชีวิตบนท้องถนน พบว่า ใบขับขี่คือเครื่องมือในการเตรียมความพร้อมของคนที่จะขับขี่ยานพาหนะออกสู่ท้องถนน เพราะจากสถิติพบว่าเด็กที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ อายุน้อยที่สุดคือ 9 ขวบ โดยเรียนรู้การขับขี่จักรยานยนต์ จากครอบครัว และเพื่อน แต่ไม่ได้เรียนรู้ทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัยและถูกต้อง จึงต้องมีการรณรงค์ให้มีการขับขี่มีคุณภาพ ลดการสูญเสีย ดังนั้นใบขับขี่ จึงต้องออกยาก และยึดคืนง่าย
ส่วน รศ.ดร.กัณวีร์ นำเสนอสถิติของผู้ขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ บนถนนสาธารณะ ซึ่งได้สุ่มเก็บตัวอย่างประมาณ 3,000 คน เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้ขับขี่รถกระบะ 5% ไม่มีใบขับขี่ รถยนต์ 9% ไม่มีใบขับขี่ และ รถจักรยานยนต์ ไม่มีใบขับขี่ถึง 30% เมื่อดูสถิติการเสียชีวิต ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ พบว่า 60% ของผู้เสียชีวิตนั้นไม่มีใบขับขี่ ในจำนวนนั้นเป็นผู้ที่อายุ ต่ำกว่า 24 ปี
ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองชีวิตของประชาชนภาพรวมบนถนนสาธารณะ ต่อไปหากกฎหมายใหม่ เรื่องไม่มีใบอนุญาตขับขี่ จะต้องส่งศาลพิจารณาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีการเปรียบเทียบปรับในชั้นตำรวจ
ส่วนกรณีที่หลายคนมีความกังวลว่า อัตราโทษปรับเรื่องการไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ที่มีอัตราสูงถึง 50,000 บาท ว่าจะเป็นช่องว่างให้ตำรวจ กระทำการทุจริตหรือไม่นั้น ในเรื่องดังกล่าว ผบ.ตร. กำหนดมาตรการชัดเจน ว่าหากมีการตรวจสอบพบการกระทำผิดของตำรวจจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาและวินัยอย่างเข้มงวด หากใครทำผิดจะไม่มีการช่วยเหลืออย่างแน่นอน ทั้งนี้ ในการเปรียบเทียบปรับ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและไม่ให้เป็นภาระของประชาชน มากเกินไป ซึ่งปัจจุบันหากไม่มีใบอนุญาตขับขี่ จะปรับไม่เกิน 1,000 บาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี