ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต เล็งลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์ กันผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำ เตือน 16 จว.รับมือฝนหนัก ขณะที่ 3-5 ก.ย.ถล่มทั่วไทย
2 ก.ย. 61 นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะ ผอ.ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำและพื้นที่เสี่ยงสำคัญ ว่า ในวันนี้ (2 ก.ย.) มีฝนตกหนักและมีพื้นที่เสี่ยงภัยฝนตกหนักถึงหนักมาก 16 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ ที่จ.เชียงราย พะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน ตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม ภาคตะวันตก จ.กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันออก นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด โดย 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกปานกลางถึงหนักในภาคเหนือ จ.แพร่ 46.2 มม. ภาคกลาง จ.กรุงเทพมหานคร 50.5 มม. และภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี 44.5 มม. ยะลา 41.4 มม. นครศรีธรรมราช 35.5 มม. อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันที่ 3–7 ก.ย. นี้ ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้
นายสำเริง กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันอัตราการระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 820 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ส่งผลให้ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาด้านท้ายเขื่อนจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 30-50 ซม. ซึ่งศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้ประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาปรับแผนลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์ เพื่อป้องกันผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำให้เกิดน้อยที่สุด รวมไปถึงแจ้งจังหวัดและราษฎรให้ทราบแผนการระบายน้ำล่วงหน้า โดยขณะนี้พบว่ามีน้ำสูงกว่าตลิ่ง ที่ อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ อย่างไรก็ตาม กรมชลประทานได้มีหนังสือแจ้ง 22 จังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพื่อขอความร่วมมือชาวนาไม่ทำการเพาะปลูกข้าวต่อเนื่องหลังการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้วเนื่องจากเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก ขณะที่สถานการณ์แม่น้ำโขงแนวโน้มน้ำสูงขึ้น โดยมีน้ำสูงกว่าตลิ่งที่ จ.หนองคาย จ.นครพนม จ.มุกดาหาร และ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี และต้องเฝ้าระวังบริเวณ จ.บึงกาฬ
รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มี 53,545 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น75 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง มี 3,143 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 61 เปอร์เซ็นต์ รับน้ำได้อีก 19,420 ล้าน ลบ. ม. อ่างฯ ที่ความจุเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนน้ำอูน 108 เปอร์เซ็นต์ ลดลง 1 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนแก่งกระจาน 107 เปอร์เซ็นต์ ลดลง 1 เปอร์เซ็นต์ และขนาดกลาง 22 แห่ง ลดลง 11 แห่ง ซึ่งอยู่ใน ภาคเหนือ 2 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 แห่ง ภาคกลาง 1 แห่ง และภาคตะวันออก 3 แห่ง
รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวอีกว่า ในส่วนอ่างเฝ้าระวังที่ความจุ 80-100 เปอร์เซ็นต์ เป็นอ่างฯขนาดใหญ่ 5 แห่ง เขื่อนวชิราลงกรณ 94 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนศรีนครินทร์ 91 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนรัชชประภา 86 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนขุนด่านปราการชล 86 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนปราณบุรี 79 เปอร์เซ็นต์ ขนาดกลาง 64 แห่ง เพิ่มขึ้น 9 แห่ง แยกเป็น ภาคเหนือ 8 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 36 แห่ง ภาคตะวันออก 12 แห่ง ภาคกลาง 4 แห่ง และภาคใต้ 4 แห่ง สำหรับอ่างเฝ้าติดตามที่ความจุน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนทับเสลา ขนาดกลาง 38 แห่ง ได้แก่ ภาคเหนือ 2 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 26 แห่ง ภาคตะวันออก 4 แห่ง ภาคกลาง 1 แห่ง ภาคใต้ 5 แห่ง ต้องวางแผนเก็บกักน้ำและเติมน้ำโดยประสานกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตรในการปฏิบัติการฝนหลวงต่อเนื่อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี