นักวิชาการแนะใจกว้างดึง‘ผู้อาศัย’พัฒนาเมือง หาทางออกร่วมกันอย่ามองสุดโต่ง
17 ก.ย. 2561 ที่งานเสวนา “ทำยังไงไม่ให้ทะเลาะกัน? ประวัติศาสตร์การพัฒนาและชุมชนเมือง” จัดโดยภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ อาคารบรมราชกุมารี จุฬาฯ น.ส.รังสิมา กุลพัฒน์ นักวิชาการด้านผังเมือง แคโรไลนา เอเชีย เซ็นเตอร์ มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ สหรัฐอเมริกา (Carolina Asia Center , University of North Carolina at Chapel Hill , USA) กล่าวถึงปัญหาการออกแบบผังเมืองในประเทศไทยว่า ขาดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
โดยในทางสากล คำว่า “Good Governance” ที่ภาษาไทยแปลว่า “ธรรมาภิบาล” ในส่วนของการพัฒนาเมืองนั้นหมายถึงการมีส่วนร่วมของ “Stakeholders” ที่ภาษาไทยแปลว่า “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย” อันประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้เชี่ยวชาญ อาสาสมัคร มหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ทั้งหมด ทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ปกป้องพื้นที่เมืองเก่าและชุมชนให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ยังได้ยกตัวอย่างเมืองแชเปิลฮิลล์ (Chapel Hill) อันเป็นเมืองเล็กๆ ในมลรัฐนอร์ธ แคโรไลนา ว่าเป็นเมืองที่ให้ผู้คนที่อยู่ในเมืองมีส่วนร่วมอย่างมาก
“ในเมืองแชเปิลฮิลล์ เราสามารถเป็นกรรมการได้ทุกอย่างเลย ไม่ว่าเรื่องผังเมือง เรื่องการอนุรักษ์หรืออื่นๆ เทศมนตรีก็จะถูกเลือกตั้งมา และต้องเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นด้วย กรรมการผังเมืองก็ประกอบด้วย 10 คนที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ต้องส่งประวัติว่าตนเองมีความรู้ มีประสบการณ์ และสนใจเรื่องอะไร แล้วก็มีการคัดเลือก คณะกรรมการก็จะมีหน้าที่มากมาย แต่ทั้งหมดเป็นแค่การให้คำแนะนำ ซึ่งเทศมนตรีก็ได้รับเลือกจากประชาชน คณะกรรมการพูดอะไรส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยแย้ง แต่ถ้ามีกรณีเห็นไม่ตรงกันก็จะให้ศาลตัดสิน” น.ส.รังสิมา กล่าว
น.ส.รังสิมา กล่าวต่อไปว่า ขณะที่การพัฒนาเมืองในประเทศไทย คณะกรรมการผังเมืองตามกฎหมายส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและมักไม่ใช่นักผังเมือง ที่เหลืออีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ที่ขาดหายไปคือเสียงจากภาคประชาชน ทั้งที่การฟังเสียงประชาชนก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมาภิบาลเช่นกัน นอกจากนี้กรณีที่เมื่อมีการจัดระเบียบต่างๆ ในเมือง แล้วมีเสียงสนับสนุนโดยให้เหตุผลว่ากิจกรรมที่ถูกจัดระเบียบไปเกิดขึ้นโดยผู้ที่ไม่ใช่คนมีภูมิลำเนาแท้ๆ ในเมืองนั้น หรือถึงเป็นคนพื้นที่แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่เสียภาษีเข้ารัฐนั้น อยากให้ผู้เกี่ยวข้องเปลี่ยนมุมมองด้วย
“เขาไม่ได้เรียกว่าพลเมือง แต่เขาเรียกผู้อยู่อาศัย แม้กระทั่งคนที่ผิดกฎหมายก็เสียภาษีได้ ยกตัวอย่างที่อเมริกา เขาขอกรีนการ์ด บอกเสียภาษีมาตลอด 20 ปี ใบสมัครของเขาก็เขียนว่าคุณต้องเป็นผู้ที่อยู่อาศัย กรณีนี้เคยมีอย่าง กทม. พูดเรื่องป้อมมหากาฬ บอกว่าคนที่อยู่ไม่ใช่คนพื้นที่แท้ๆ แต่ในความคิดเราคิดว่าเราซื้อบ้านจัดสรรเราก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ เพราะพ่อแม่เราก็ไม่ได้อยู่ตรงทุ่งนานี้ในอดีตแล้วตอนนี้ก็พัฒนามา มันไม่มีอะไรแท้ในโลกนี้หรอก ทุกคนทุกอย่างมัน Hybrid (ผสมผสาน) กันหมด” น.ส.รังสิมา ระบุ
ขณะที่ รศ.ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงนโยบายจัดระเบียบร้านค้าแผงลอย หรือ “สตรีทฟู้ด” (Street Food) ในปัจจุบันที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่มองว่าร้านค้าแผงลอยเป็นที่พึ่งของคนรายได้น้อยในเมืองทั้งคนขายและคนซื้อ กับกลุ่มที่มองว่าแผงลอยกีดขวางทางเท้าทำให้เมืองไม่เป็นระเบียบ ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการมองแบบสุดโต่งทางใดทางหนึ่งเกินไป ไม่มีการหาทางออกที่อยู่ตรงกลาง
“สังคมไทยมักจะมีทางเลือกอยู่ 2 อย่าง ไม่ซ้ายก็ขวาไม่ขาวก็ดำ สตรีทฟู้ดที่รุกทางเท้าถามว่าเป็นปัญหาไหมก็เป็น ใครก็ต้องยอมรับ แต่การแก้ปัญหาก็ไม่ใช่ว่าเอาออกหมดเลย คือตอนนี้เรามีแต่คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงกับเอามันออกไปให้หมด ทำไมเราไม่สร้างทางเลือกที่ 3 สมมติกรณีสตรีทฟู้ดมันใช้พื้นที่เยอะ ทำไมเราไม่ใช่นักออกแบบมาออกแบบที่ขายให้กินพื้นที่น้อยลง หรือถ้ามีปัญหาเรื่องความไม่สะอาดทำไมเราไม่ตกลงพูดคุย มีกฎระเบียบเรื่องการดูแลความสะอาด คือมันมีทางออกที่ดีกว่าอยู่เสมอ แต่รัฐไทยไม่ค่อยมองแบบนั้น” รศ.ชาตรี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี