'หมอธี'จับมือเวิลด์แบงก์ ควบรวมรร.ขนาดเล็ก1.4หมื่นโรง พัฒนาคุณภาพการศึกษา
27 ก.ย.61 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ว่า ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ด้านทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มงานการศึกษา ประจำธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ได้มาเสนอข้อมูลให้ที่ประชุม กพฐ. ถึงการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งในเรื่องนี้ กพฐ.ได้คิดมาตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานแล้วว่าการควบรวมหรือการลดปริมาณโรงเรียนขนาดเล็กลงเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษา ที่มีประสิทธิภาพในการลงทุนแล้วได้ผลลัพธ์ ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้ร่วมกันพิจารณาถึงตัวเลขที่เวิลด์แบงก์วิเคราะห์มาและมีการซักซ้อมการทำงานที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเวิลด์แบงก์มีความพยายามทำเรื่องนี้มา 30 ปีแล้วแต่ไม่สำเร็จ ตนจึงขอให้ นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธาน กพฐ.ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า การลดปริมาณโรงเรียนก็เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการควบรวม แต่ต้องคิดเรื่องจำนวนครูใหม่ ซึ่งจากข้อมูลของเวิลด์แบงก์ชัดเจนว่าจำนวนนักเรียนต่อชั้น 17.1 ต่อครู 1 คน ซึ่งก็ถือว่าตัวเลขดีที่สุดในโลกและดีกว่าประเทศที่เจริญแล้ว แต่ถ้าคิดแบบเดิมก็จะดูว่าครูเรายังขาด ดังนั้น การแก้ไขปัญหาไม่ใช่ใช้วิธีการควบรวมโรงเรียนเพียงอย่างเดียว จะต้องทำหลายอย่างไปพร้อมๆกัน เช่น จะใช้ครูในลักษณะอย่างไร ใช้เป็นครูประจำชั้น หรือดูว่าโรงเรียนอยู่ไกลกันแค่ไหน และหากยุบแล้วเด็กเดินทางไปเรียนอีกแห่งหนึ่งไม่ได้จะทำอย่างไร หรือโรงเรียนที่อยู่บนเขาสูงจะควบรวมได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้มอบให้ประธาน กพฐ.ไปพิจารณา องค์ประกอบที่หลากหลาย ดังนั้น การหารือในวันนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อกำหนดทิศทาง และภารกิจที่สำคัญว่าใครจะรับผิดชอบอะไร ส่วนทางสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.)ก็ต้องมีเป้าหมายชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพการศึกษาด้วย
“ เวิลด์แบงก์ ได้เสนอโรงเรียนที่มีความจำเป็นที่จะต้องควบรวมแล้วประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นมีประมาณ 14,000 กว่าโรงเรียน จากโรงเรียนของ สพฐ.ที่มีอยู่ทั้งหมด 30,000 กว่าโรง ซึ่งขณะนี้ก็มีข้อมูลระดับหนึ่งแล้วว่ามีโรงเรียนขนาดเล็กอยู่ในพื้นที่ใดบ้าง และรับรู้แล้วว่าปัญหาใหญ่จริงๆคืออะไร ดังนั้น การหารือวันนี้เพื่อซักซ้อมการกำหนดเป้าหมาย ทิศทาง และภารกิจที่สำคัญของ กพฐ. การประชุมวันนี้ไม่ใช้เพื่อยุบโรงเรียนขนาดเล็กทั้งหมด และให้ กพฐ.จะไปดูในภาพรวมและมีเวิลด์แบงก์เป็นที่ปรึกษาให้
ด้านนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธาน กพฐ. กล่าวว่า โรงเรียนขนาดเล็กบางแห่งจำนวนนักเรียนลดลง มีปัญหาขาดแคลนครูผู้สอน เนื่องจากโรงเรียนอยู่ห่างไกล บรรจุครูเข้าไปแล้วก็ขอย้ายออก ดังนั้น จึงต้องมาหาทางแก้ไขปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กให้ได้
โรงเรียนที่อยู่บนภูเขาและพื้นที่สูง กพฐ.ไปดูแล้วเราเดินทางเพียงแค่ 10 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชม.และไปดูโรงเรียนตามเกาะต่างๆ เช่นที่ จ.สตูล ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้มีอยู่ 2,700 กว่าโรงเรียน ซึ่งบางโรงเรียนมีครูเพียงคนเดียว แต่ก็ยุบโรงเรียนไม่ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้โรงเรียนที่มีนักเรียน 10-20 คน ย้ายมาอยู่ในโรงเรียนที่มีคุณภาพ หรือโรงเรียนแม่เหล็ก โรงเรียนดีประจำตำบล แต่การจะให้เด็กย้ายไปโรงเรียนเหล่านี้ จะต้องไปคุยกับพ่อ แม่ ผู้ปกครองเด็ก ว่าถ้าย้ายลูกไปเรียนโรงเรียนนี้แล้วจะมีรถรับส่ง(สคูลบัส) หรือสร้างเรือนพักนอนให้ แล้วแต่จะเลือกวิธีไหน
“โรงเรียนที่เด็กใช้เวลาเดินทางไปเรียน 3 ชม.ในระยะทาง 10 กิโลเมตร ที่ กพฐ.ไปสร้างเรือนนอนให้เด็ก ๆก็มีความสุขดี โรงเรียนทำอาหารเลี้ยง เด็กช่วยล้างจาน ซักผ้าดูแลตัวเอง ซึ่งถ้าเด็กสามารถดูแลตนเองได้อย่างนี้ การให้โรงเรียนมีเรือนพักนอนเด็กก็เป็นวิธีที่ดี แต่ถ้ามี 2 วิธีนี้แล้วเด็กยังไม่เลือก ก็อาจจะใช้วิธีหาครูเก่งๆ มาสอนคละชั้นหรือเรียนรวม ระหว่างชั้น ป.1-3 และชั้น ป.4-6ให้ ซึ่งหลายโรงเรียนเช่นโรงเรียนรุ่งอรุณที่ใช้วิธีเรียนร่วม ผลการเรียนของเด็กก็ดีขึ้น นอกจากนี้ กพฐ.ได้ข้อมูลแล้วว่ามีโรงเรียนขนาดเล็กที่เด็กต้องเดินทางไกลมีอยู่พื้นที่ใดบ้าง และมีโรงเรียนแม่เหล็กอยู่กี่โรง ดังนั้น เมื่อ รมว.ศึกษาฯเปิดทางให้ สพฐ.ทำบิ๊กดาต้าข้อมูลทั้งหมดนี้ให้ชัดเจนแล้ว กพฐ.ก็จะเข้าไปกำกับดูแผนเพื่อเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป ดังนั้น อีก 3 ปีโรงเรียนขนาดเล็กไม่ควรจะเหลือเกินครึ่งหนึ่งของ 14,000 โรง” นายปิยะบุตร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี