“โครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย” นับเป็นหนึ่งในโครงการไทยนิยมยั่งยืนที่สำคัญในรอบปี 2561 รัฐบาลมอบหมายให้ “กรมส่งเสริมการเกษตร” เป็นผู้ดำเนินการผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากโครงการนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และความมั่นคงในชีวิตให้เกษตรกรเท่านั้น แต่ยังสร้างผลประโยชน์ตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความเข้มแข็ง เพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ได้รับมอบหมายให้เข้าไปจัดอบรมทักษะอาชีพ และสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มพัฒนาอาชีพขึ้นในชุมชน โดยรัฐจะสนับสนุนงบประมาณชุมชนละไม่เกิน 3 แสนบาท เป้าหมาย 9,101 ชุมชนทั่วประเทศ รวมงบประมาณ 5,278 ล้านบาท โดยผลดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันซึ่งใกล้ครบกำหนดปิดโครงการเป็นที่น่าพอใจมาก
จากข้อมูล ณ วันที่ 19 กันยายน 2561 มีเกษตรกรผ่านการอบรมอาชีพเสริมทั้งสิ้น 1,620,308 ราย หรือคิดเป็น 89.01% จากเป้าหมาย 1,820,200 ราย งบประมาณ 2,253 ล้านบาท และมีเกษตรกรรวมกลุ่มเสนอโครงการพัฒนาอาชีพที่ได้รับการอนุมัติ 24,977 โครงการ โดยกลุ่มอาชีพที่มีการของบประมาณมากที่สุด คือ โครงการด้านการผลิตอาหารและแปรรูปผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 7,287 โครงการ หรือ 29.17% รองลงมา ได้แก่ ด้านการผลิตพืช, ปศุสัตว์, การประมง, การผลิตปุ๋ยอินทรีย์และปรับปรุงบำรุงดิน, การผลิตแมลงเศรษฐกิจ, ฟาร์มชุมชน, การจัดการศัตรูพืช และการเกษตรอื่นๆ ตามลำดับ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้โอนงบประมาณให้เกษตรกรครบทุกโครงการแล้ว เป็นเงิน 2,617 ล้านบาท
“สาเหตุที่มีการเสนอโครงการแปรรูปผลผลิตมาก เพราะเกษตรกรมีอาชีพหลักในการผลิตสินค้าขั้นต้นอยู่แล้ว ทำให้มีความสนใจแปรรูปผลผลิตที่ตัวเองผลิตได้หรือใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า ซึ่งในสมัยดำเนินโครงการเกษตรยั่งยืน 1 หรือ 9101 เมื่อปีที่ผ่านมา กิจกรรมที่เกี่ยวกับการแปรรูปจะขายได้ดี เกษตรกรมีรายได้มาก และมีการเชื่อมโยงกับตลาดท้องถิ่น ตลาดโอท็อป และตลาดท่องเที่ยว”
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวต่อว่า ข้อสำคัญอีกประการของโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย
คือ โครงการนี้จะทำให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนในชุมชน ทั้งจากการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์จากร้านค้าในท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้ในโครงการ การซื้อขายสินค้าระหว่างเกษตรกรในชุมชนและชุมชนข้างเคียง และการซื้อขายระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับพ่อค้า ซึ่งล้วนเป็นการสร้างรายได้และทำให้เกิดกำลังซื้อ ส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนกลับมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าโครงการเสริมสร้างรายได้ฯจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 2.5 เท่าของงบประมาณที่ลงไปในแต่ละชุมชน
ดร.เศรษฐพงศ์ เลขะวัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการโครงการเกษตรยั่งยืน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการเสริมสร้างรายได้ฯเป็นการเสริมความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง เพราะไม่เพียงจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในชุมชนเท่านั้น แต่ยังช่วยบรรเทาปัญหาราคาสินค้าตกต่ำได้ด้วย เช่น กรณีภาคตะวันออกที่มักประสบปัญหาผลไม้ล้นตลาดจนราคาตกต่ำเกือบทุกปี แต่การมีเกษตรกรรวมกลุ่มแปรรูปผลผลิต จะทำให้เกิดกลุ่มผู้รับซื้อผลไม้จากเกษตรกรในท้องถิ่นในราคาเป็นธรรม จึงเป็นการบรรเทาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ โครงการยังช่วยสร้างงานในชุมชน เช่น กลุ่มเกษตรกรผู้รับจ้างกรีดยางที่ต้องว่างงานช่วงฤดูฝนเพราะไม่สามารถกรีดยางได้ ทำให้ขาดรายได้ ก็สามารถมาร่วมกับกลุ่มเพื่อทำอาชีพเสริม
ขณะเดียวกัน ยังมีสิ่งสำคัญอีกประการ นั่นคือ “ความยั่งยืน” ในการพัฒนาอาชีพให้เกษตรกร เพราะแม้โครงการจะต้องยุติลง แต่เกษตรกรทุกคนยังมี “ต้นทุน” สำคัญอยู่กับตัว ทั้งองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรม และวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ ตามที่รัฐสนับสนุนงบประมาณจัดซื้อ สิ่งเหล่านี้ล้วนจะยังคงอยู่กับเกษตรกรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองต่อไป
“โครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย” ที่กำลังจะผ่านไป จึงเปรียบเป็นเพียงแค่ “ก้าวแรก” ในการเสริมสร้างชีวิต-สร้างเศรษฐกิจชุมชนให้กับเกษตรกรเท่านั้น หลังจากนี้ยังมี “ก้าวต่อไป” ที่สมาชิกในกลุ่มของเกษตรกร จะต้องร่วมมือกันเพื่อให้สามารถเดินต่อไปได้ด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี