จากเรื่องราวที่มีการเรียกร้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยกเลิกการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช และศัตรูพืช 3 ชนิด ที่มีการอ้างว่าเป็นสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูง ดังที่เป็นข่าวต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช มองเลยไปถึงการจำกัดการโฆษณา หรือจำกัดการทำตลาดของสินค้าประเภทสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชเลยทีเดียว โดยบอกว่าจะขอพิจารณาดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อน
คำว่า “โฆษณา” ของท่านรัฐมนตรี ท่านอยากจะให้มีการห้ามโฆษณาตามร้านค้า เหมือนเหล้า และบุหรี่...
ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551) ไม่มีเรื่องของการโฆษณาในลักษณะแบบที่ท่านว่ามา มีแต่เรื่องราวของฉลากที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงที่สุด
มาตรา 82 ผู้ใดโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแหล่งกำเนิด สภาพคุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับวัตถุอันตราย ไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่นทำหรือ ใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง กระทำผิดซ้ำอีกภายใน 6 เดือนนับแต่วันกระทำความผิดครั้งก่อน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
มาตรา 83 ผู้ใดขายวัตถุอันตราย โดยไม่มีฉลาก หรือมีฉลาก แต่ฉลาก หรือการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง หรือขายวัตถุอันตรายที่มีฉลากที่คณะกรรมการสั่งเลิกใช้ หรือให้แก้ไขตามมาตรา 50 ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ยังมี มาตรา 84 ที่เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้างทำฉลากที่ไม่ถูกต้อง หรือรับจ้างทำลายส่วนอันเป็นสาระสำคัญของฉลากที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ได้รับโทษเช่นเดียวกัน
ถ้าจะพูดถึงการโฆษณา เรื่องของฉลากคงเป็นเพียงส่วนเล็ก ที่สำคัญกว่าฉลาก คือ ผู้จำหน่ายปลีก คือ ร้านค้า หรือร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิต ที่มักจะเป็นผู้ให้คำแนะนำเกษตรกรว่าควรใช้สารเคมีชนิดใดในการป้องกันกำจัดวัชพืช หรือศัตรูพืชชนิดนั้นๆ และถ้าเกษตรกรใช้ได้ผลดีตามที่ต้องการก็จะใช้ต่อ และบอกต่อๆ กันไป ไม่ต้องเสียงบประมาณในการโฆษณาแต่อย่างใด
ส่วนการโฆษณาของบริษัทผู้ผลิต หรือ ตัวแทนจำหน่าย ส่วนใหญ่จะใช้สื่อสิ่งพิมพ์ หรือรายการวิทยุที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และเซลล์แมน ที่เข้าไปหาร้านค้า และเกษตรกรแบบตัวต่อตัว อาจจะใช้วาทศิลป์โน้มน้าว หรือ มีสินค้าให้ทดลองใช้ เมื่อได้ผลดีเกษตรกรก็จะหาซื้อมาใช้ต่อ แต่ถ้าไม่ดีเกษตรกรก็จะกลับพึ่งคำแนะนำของร้านค้า
รัฐมนตรีฯ กฤษฎา บุญราช บอกว่าในเบื้องต้น กระทรวงเกษตรฯ จะจัดอบรมผู้ค้าและเกษตรกร พร้อมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ....
เรื่องจัดอบรมผู้ค้า กรมวิชาการเกษตรต้องจัดอบรมอยู่แล้ว ร้านค้าที่จะได้รับใบอนุญาตให้จำหน่ายสารเคมีทางการเกษตร หรือ ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ได้ เจ้าของร้านต้องผ่านการอบรมให้มีความรู้เกี่ยวกับวัตถุอันตรายทางการเกษตร ปุ๋ยเคมี เมล็ดพันธุ์ และ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนการอบรมเกษตรกรนี่สิ...งานใหญ่ ให้ใครทำ...งบไทยนิยมยั่งยืนก็ใช้หมดไปแล้ว....
อันที่จริง สารเคมีทางการเกษตร หรือ วัตถุอันตรายทางการเกษตร ไม่ได้มีการโฆษณาแบบโหมกระหน่ำอะไรนักหนา ผิดกับปุ๋ยเคมี ที่มีหลายบริษัท โฆษณาแข่งกันทางโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์
โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ ต้องชมผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณา ที่สามารถจะตีความการทำงานของปุ๋ยเคมีออกมาเป็นภาพตลกๆ ที่สามารถจดจำได้ แต่ภาพเหล่านั้นก็ดูจะเหลือเชื่อว่าปุ๋ยเคมีจะสามารถทำได้ขนาดนั้น แต่เมื่อเป็นโฆษณา และผ่านการตรวจสอบแล้วว่าเผยแพร่ได้ก็ไม่ว่ากัน.....ดูกันได้เพลินๆ...
นอกจากนี้ การตั้งชื่อปุ๋ยของบางบริษัทที่ดูจะเกินจริงก็มีอยู่ไม่น้อย...คงต้องฝากกรมวิชาการเกษตร ของอธิบดี เสริมสุข สลักเพ็ชร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลการขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมี ไว้ด้วยว่าสมควรจะปล่อยให้ผู้ผลิตตั้งชื่อแบบชี้นำหรืออวดสรรพคุณแบบนั้นหรือไม่ และฝากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดูแลเรื่องการโฆษณาเกินจริงไว้ด้วยเช่นกัน
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี