เมื่อวันที่ 10 มกราคม ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีที่นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ กับพวกรวม 22 คน ยื่นฟ้อง กรมควบคุมมลพิษ ผู้ถูกฟ้องกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการปฎิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร จากกรณีบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ลักลอบปล่อยน้ำเสีย ซึ่งมีสารตะกั่วปนเปื้อนลงลำห้วยคลิตี้ ทำให้ชาวบ้านได้รับกระทบต่อ จึงขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเข้าดำเนินการกำจัดมลพิษและฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ พร้อมเรียกค่าใช้จ่ายจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ฯ ผู้ก่อมลพิษในภายหลัง และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

                ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษในการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ล่าช้า ส่งผลให้ผู้ฟ้องทั้ง 22 รายยังได้รับความเสียหาย เพราะไม่สามารถนำน้ำในลำห้วยขึ้นมาอุปโภค บริโภคได้ จึงพิพากษาให้กรมมลพิษจ่ายค่าเสียหายในอนาคตให้กับผู้ฟ้องทั้ง 22 ราย รายละ 177,159.50 บาท รวมเป็นเงิน 3,897,509 บาทภายใน 90 วันตั้งแต่คดีถึงที่สุด ขณะเดียวกันให้ผู้ถูกฟ้องกลับไปจัดทำแผนฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้และต้องตรวจสอบคุณภาพน้ำในทุกฤดูกาลจนกว่าสารตะกั่วในน้ำจะอยู่ในระดับที่ไม่เกินค่ามาตรฐานการควบคุม ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 ปี

                ส่วนกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่ากรณีดังกล่าวผู้ถูกฟ้องได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไปแล้ว จึงพิพากษายกฟ้อง

                ด้านนายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่าพอใจกับคำตัดสินของศาล แต่ติดใจกรณีที่ศาลไม่กำหนดแนวทางการฟื้นฟูลำห้วยชัดเจน  ส่วนเรื่องการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คาดว่าน่าจะมีคำพิพากษาในปีนี้