“ปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์” เป็นอีกเรื่องที่มีความพยายามผลักดันกันมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหตุเพราะในขณะที่ประเทศไทยยังยึดกฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ที่ขึ้นบัญชีกัญชาในฐานะ “ยาเสพติดให้โทษประเภท 5” มีโทษอาญาทั้งจำคุกและปรับไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย ครอบครอง และเสพ สวนทางกับในต่างประเทศที่มีการค้นคว้าวิจัยจนแปรรูปกัญชาเป็นยารักษาโรคอย่างแพร่หลาย
ล่าสุดเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย. 2561 ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา(กพย.) ร่วมกับ ภญ.สำลี ใจดี ประธานมูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา (มสพ.) เปิดแถลงข่าวที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจเข้าใจประเด็นการใช้กัญชาในทางการแพทย์ ซึ่งมีปรากฏเป็นตำรับยาโบราณมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ระหว่างปี 2199-2231) แห่งกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งปัจจุบันในต่างประเทศก็มีงานวิจัยรับรองแล้ว จึงควรปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 โดยเร็ว
แม้กระทั่งผู้เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ที่แถลงข่าวในช่วงเวลาเดียวกัน และเป็นการแถลงข่าวครั้งสุดท้ายก่อนอำลาชีวิตราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ในคดีจับกุมยาเสพติดที่มีของกลางส่วนหนึ่งเป็นกัญชาน้ำหนัก 161 กิโลกรัม ก็ยังกล่าวว่า “อยากให้คนไทยยอมรับการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคได้แล้ว” ดีกว่าเผาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์
เช่นเดียวกับในงานเสวนา “เมื่อปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด : ปัญหาหรือโอกาสของสังคมไทย” ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) ช่วงต้นเดือน ต.ค. 2561 จักรภฤต บรรเจิดกิจ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า แม้ในทางกฎหมายของรัฐจะกำหนดให้กัญชาเป็นสิ่งของต้องห้าม แต่ในวิถีชาวบ้านโดยเฉพาะในชนบทซึ่งไม่ค่อยมีทุนทรัพย์ในการเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อรับบริการทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ยังใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บอยู่ดี “ถึงจะต้องแอบปลูกแอบใช้ก็ยอม” เพราะมีความจำเป็น
“เป็นมะเร็งไม่มีเงินรักษา ไม่อยากทำคีโม ก็ต้องหาวิธีปลูก ในกระถางบ้าง ตามกอกล้วยบ้าง ย้ายไปย้ายมา เมืองไทยมีหวยใต้ดิน พวกปลูกกัญชานี่ก็ใต้ดิน แล้วจากที่ทดลองก็ไม่ใช่แค่มะเร็ง เอาแค่ความสวยงาม ทาแล้วหน้าเด้ง รักษาสิวได้ ลดน้ำหนักได้ แผล ฝี หนอง ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวาร ผู้สูงอายุมีปัญหากินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ สมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) มือไม้สั่น (พาร์กินสัน) ตาเป็นต้อเนื้อถึงผ่าแล้วก็งอกใหม่ได้ เอาน้ำมันกัญชาหยอด มันแสบนิดเดียว น้ำตาไหลมันก็หลุดออก เบาหวาน ไขมัน ความดัน 3 เดือนรู้เรื่อง น้ำตาลหายเกลี้ยง” จักรภฤต กล่าว
ไม่ต่างจากเรื่องเล่าของ บัณฑูร นิยมาภา ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้กัญชาทางการแพทย์แห่งประเทศไทย ที่หลายคนเรียกว่า “ลุงตู้” ผู้เดินสายให้ความรู้การแปรรูปกัญชาให้เป็นยารักษาโรคกับผู้สนใจ ซึ่งกล่าวว่า “ผู้ป่วยรอไม่ได้เพราะค่ารักษาพยาบาลแต่ละโรคไม่ใช่ถูกๆ” เช่น มะเร็ง พาร์กินสัน และรู้สึกเสียดาย “ไทยกับลาวเป็นพื้นที่ปลูกกัญชาที่ดีที่สุดในโลก แต่วันนี้ไทยปลูกไม่ได้ส่วนลาวปลูกได้” ทำให้สังคมไทยทั้งเสียโอกาสในการพัฒนายารักษาโรคแถมยังต้องเสียทรัพยากรทั้งคนและเงินไปกับการป้องกันและปราบปรามกัญชาในฐานะยาเสพติดอีกต่างหาก
“ในเมื่อกัญชารักษาได้ 700 กว่าโรคตามผลวิจัย ผมถามว่าพวกคุณรออะไรอยู่?เรากำลังเสียโอกาสที่จะได้เงินเข้าประเทศ กัญชา1 ไร่ ให้ผลผลิตเท่ากับข้าว จาก 500 บาทพอไปถึงเมืองนอกเป็นแสนบาท ถ้าเอามาสกัดตามกรรมวิธีราคาขึ้นเป็นหลักล้าน คุณอนุญาตให้ชาวนาปลูกคนละ 1 ไร่ ทุกคนทำยาเป็นเองได้ ผมสอนคนให้ทำเองช่วยเหลือตัวเองนับพันคน จากการสกัดทำให้อานุภาพของมันสูงมาก” บัณฑูร ระบุ
แม้จะมีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ากัญชาถูกนำไปใช้เสพเพื่อความบันเทิงผ่อนคลาย อาทิ เสียงสะท้อนจาก1 ในผู้เข้าร่วมฟังเสวนาครั้งนี้ เชาว์พิชาญ เตโชนักจิตวิทยาคลินิกยาเสพติด ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 คลองเตย กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดหลายรายโต้เถียงว่าใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค แต่เมื่อถามต่อไปว่าใช้รักษาโรคอะไรก็ตอบไม่ได้ ดังนั้น “ถ้าถูกกฎหมายจะควบคุมอย่างไร?” เหมือนกับ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่คนส่วนหนึ่งดื่มมากเกินไปจนถึงขั้นเสพติดแล้วก็ต้องมาบำบัด เรื่องนี้ก็ต้องถูกนำมาพิจารณาด้วย
“ตอนนี้สังคมทราบแค่ครึ่งเดียวว่ากัญชารักษามะเร็ง ผมก็เพิ่งมาทราบวันนี้ว่ากัญชามีน้ำมันด้วย ผมอยากถามกลับว่าจริงๆ แล้วเยาวชนใช้กัญชาโดยการเสพน้ำมันกัญชาหรือเปล่า?จริงๆ แล้วแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ นักเรียนหรือเยาวชนที่ใช้ ผมมีโรงเรียนอยู่โรงเรียนหนึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ ครูตรวจปัสสาวะแล้วเจอกัญชาตลอดซึ่งเด็กที่มาทุกคนสูบโดยใช้บุหรี่มวนทั้งนั้น แล้วผจะบอกในกรณีที่ยังผิดกฎหมายอยู่ ถ้าสูบโดยบ้องกัญชาจะอยู่ในปัสสาวะได้ถึง 3 เดือน ผมก็อยากมองในมุมของสารตกค้างในร่างกายมันมีผลหรือเปล่า
มันเป็นแพทย์ทางเลือกที่น่าสนใจ ในเมื่อเรามีผู้ป่วยที่บำบัดแล้วหาย แล้วมีผู้ป่วยที่ไม่หาย เสียชีวิตกี่คน แล้วเทียบสัดส่วนกันแล้วมันน้อยจริงๆเช่น 100 คนหาย 80-90 คน จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ ต้องฝากให้เก็บข้อมูลด้วยให้มันชัดเจนขึ้น แล้วสิ่งที่ผมเป็นห่วงคือทำอย่างไร ข้อมูลจะส่งไปถึงประชาชนได้ว่าในกัญชามีตัวยาที่รักษาโรคต่างๆ ได้ แต่การนำเข้าสู่ร่างกายนำแบบไหน?เพราะผลวิจัยมันก็ออกมาค้านเหมือนกันว่าสูบกัญชามีโอกาสเป็นมะเร็งถึง 5 เท่า กัญชา 1 มวนเท่ากับสูบบุหรี่ 5 มวน” เชาว์พิชาญ กล่าว
ยังมีมุมมองจากวิทยากรบนเวทีเสวนาอีก 2 ท่าน โดย คมสัน โพธิ์คง รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวไว้ 2 ประเด็นคือ 1.สังคมต้องแยกแยะระหว่างการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคกับเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งขณะนี้ทั้ง 2 เรื่องถูกตีความเหมารวมเป็นเรื่องเดียวกันทั้งที่ “การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคนั้นใช้ในรูปแบบอื่นไม่ใช่การสูบอย่างภาพที่คุ้นเคยในกรณีผู้ใช้สารเสพติด” จึงควรเปิดโอกาสให้ทำการศึกษาวิจัยเช่นเดียวกับ “ฝิ่น” ที่แม้จะอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ที่มีความผิดหนักกว่า แต่ก็ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์และมีงานวิจัยรับรอง
กับ 2.ระวังการผูกขาดโดยกลุ่มทุนใหญ่ กัญชาจัดเป็นพืชชนิดหนึ่ง ซึ่ง “พืชใดที่มีมูลค่าสูงกลุ่มทุนที่เห็นประโยชน์มหาศาลเชิงธุรกิจก็จะหาทางเข้าครอบครอง” โดยผ่านกระบวนการสิทธิบัตร ที่ผ่านมาเรื่องนี้เป็นปัญหาแล้วในกรณี “กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช” เมล็ดพันธุ์ที่กลุ่มทุนพัฒนาขึ้นห้ามเก็บไว้แม้แต่เพื่อปลูกเองในฤดูกาลถัดไปหรือแจกจ่ายให้ผู้อื่น ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกฤดูกาลปลูก ขณะที่เมล็ดพันธุ์พื้นเมืองจะค่อยๆ หายไป
ทางด้าน รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเสริมในประเด็นการผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่ โดยยกตัวอย่าง “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์-ยาสูบ” ที่สำหรับประเทศไทยนั้นโครงสร้างทางกฎหมายทำให้เกิดสภาพผูกขาดโดยกลุ่มทุนใหญ่ไปเสียแล้วเพราะผู้ประกอบการรายย่อยหมดสิทธิ์เกิด “ต่างประเทศมีเหล้าท้องถิ่น แต่ของไทยถูกปราบเรียบ” ดังนั้นหากไม่มีมาตรการรับมือ
เมื่อกัญชาถูกปลดล็อกให้ถูกกฎหมาย..ลงท้ายคงมีชะตากรรมถูกผูกขาดไม่ต่างกัน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี