กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาล คสช.ของนายกฯบิ๊กตู่ต้อง “เสียรังวัด” ถูกสังคมและฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองผสมโรง รุมด่าฟรีๆ จน “ถอยกรูด” แทบไม่ทัน กับเรื่องกฎหมายที่จะขึ้นทะเบียน “หมา-แมว” ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ชงเสนอให้ ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา...ทำให้เริ่มมีผู้กังวลใจแทนอธิบดีกรมปศุสัตว์-นายสัตว์แพทย์สรวิศ ธานีโต ว่า จะเผชิญชะตากรรมเดียวกันหรือไม่กับอธิบดีคนก่อนคือ น.สพ.อภัย สุทธิสังข์ ที่ถูก“เด้ง”สังเวยปัญหา“หมา”มาแล้ว
ความพยายามผลักดันแก้พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อบังคับให้เจ้าของต้องนำ “หมา-แมว” ที่เลี้ยงไว้ไปขึ้นทะเบียน ถือเป็นมาตรการสำคัญยิ่งอันหนึ่งเพื่อแก้ปัญหา “โรคพิษสุนัขบ้า” ที่ปีนี้กลับมาระบาดหนักจนมีคนตายมากที่สุดในรอบ 10 ปี! ซึ่งไม่เพียงกรมปศุสัตว์เท่านั้น สภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยคณะกรรมการติดตามกลไกและพิจารณาการปกป้องคุ้มครองสัตว์ ที่ “ครูหยุย” วัลลภ ตังคณานุรักษ์ เป็นประธาน ก็กำลังเร่งดำเนินการพิจารณาแก้กฎหมายประเด็นนี้อยู่
แต่อย่างไรก็ตามการผลักดันให้“ตีทะเบียน” หมา-แมวนั้น ไม่ใช่เรื่อง“หมูๆ”(ศัพท์แสลง) ที่จะดำเนินการได้ง่ายๆ เพราะมีปัญหาทับซ้อนอยู่มากมายและเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ โดยมีทั้งหมา แมว ที่คนเลี้ยง,วัดเลี้ยง,องค์กรต่างๆเลี้ยง แล้วยังหมาจร-แมวจรอีกนับเป็นสิบๆล้านตัว...ตลอดกว่า 10 ปีมาแล้วที่พยายาม“ตีทะเบียน”สำรวจจำนวนให้ชัด จะได้แก้ปัญหาให้ถูกทางโดยให้“เจ้าของ”เข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ!
เห็นได้จากทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีกฎหมายบังคับตีทะเบียนหมา-แมว เอากันชัดๆ ในส่วนของ กทม.ก็มีข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครออกมาตั้งแต่ปี 2548 สมัยที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ กทม. กำหนดให้คนกรุงต้องนำหมา-แมวที่เลี้ยงไว้ไปขึ้นทะเบียนและฝังชิพ แม้ข้อบัญญัตินี้จะกำหนดทั้งเรื่อง“ค่าใช้จ่าย”และ“โทษ”หากฝ่าฝืน แต่กทม.ก็ไม่สามารถบังคับใช้ตามกฎหมายได้จริงจัง ต้องใช้วิธีจูงใจเป็นหลัก โดยให้ไปขึ้นทะเบียนและฝังชิพ ฟรี! กระนั่นที่ทำมา 10 กว่าปีจนถึงทุกวันนี้ ก็มีผู้ที่นำหมา-แมวไปขึ้นทะเบียนน้อยมากๆ แทบจะคิดเป็นสัดส่วนอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ในส่วนสนช.ที่มีครูหยุยดำเนินการอยู่ จึงเปิดรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้เกิดความรอบคอบ ให้ได้ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายยอมรับและปฏิบัติได้จริง ซึ่งเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ก็เชิญทั้งกรมปศุสัตว์และองค์กรปกครองท้องถิ่นที่จะถูกบังคับให้เป็นผู้รับผิดชอบในการรับตีทะเบียน มาร่วมแสดงความคิดเห็น ปรากฏว่า เกิดภาพ“โยนกลอง” กันวุ่นเพราะหน่วยงานท้องถิ่นก็ไม่ต้องการรับหน้าที่นี้ อ้างแค่ภาระดูแลทะเบียนราษฎรก็หนักหนาสาหัสแล้ว ทำไมกรมปศุสัตว์ถึงไม่รับไปทำเอง ขณะที่กรมปศุสัตว์อ้างมีหน้าที่ดูแลสัตว์เศรษฐกิจ วัว-ควาย-หมู-ไก่ ฯลฯ อยู่มโหฬาร การดูแลสัตว์เลี้ยงหมา-แมวจึงควรเป็นหน้าที่ของท้องถิ่น...ต้องถือว่า แค่ใครรับผิดชอบ ก็ยังเกี่ยงกัน ไม่ได้ข้อสรุปเลย
ดังนั้น การที่กระทรวงเกษตรฯโดยกรมปศุสัตว์“ชง”แก้กฎหมายนี้ให้ครม.เห็นชอบ โดยที่ยังขาดทั้งความละเอียดรอบคอบและความชัดเจนในเนื้อหาที่จะสร้างความยอมรับได้ กลับมุ่งเน้นแต่ประเด็นที่จะใช้ตัวบทกฎหมาย“บังคับ”เอาให้ได้ เช่น กำหนดค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนรวมแล้ว ถึง 450 บาท แบ่งเป็นค่าคำร้อง 50,สมุดประจำตัวสัตว์ 100 และการทำเครื่องหมายประจำสัตว์ 300 บาท ทั้งกำหนดโทษปรับหนักถึง 25,000 บาทหาก“เจ้าของ”ฝ่าฝืน ไม่นำสัตว์มาขึ้นทะเบียน...จึงกลายเป็นชนวนให้เกิดการระเบิดของเสียงโจมตีต่างๆกระหึ่มไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ฝ่ายการเมืองที่สบช่องก็ผสมโรงรุมยำ ถล่มรัฐบาล คสช. กล่าวหาไม่เพียง“รีดภาษีคน” ยังลามไป“รีดภาษีสัตว์”อีก เป็นต้น
ทำให้รัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่ที่กำลัง“แคร์”กระแสนิยม เพราะใกล้เลือกตั้งต้นปีหน้าแล้ว ต้อง“ถอยกรูด” แค่วันเดียวที่มีมติครม. วันถัดมาก็เปลี่ยนใหม่ ให้กระทรวงเกษตรฯกลับไปทบทวนกฎหมายและเปิดรับฟังความเห็นให้ดีก่อน ขณะที่รมว.เกษตรฯ-กฤษฎา บุญราช ต้องบากหน้าออกมา“ขอโทษ”ประชาชนเลยทีเดียว
แม้เชื่อแน่ได้ว่า ก่อนเลือกตั้งจะมีขึ้น...กฎหมายบังคับตีทะเบียนหมาแมวคงไม่ได้“คลอด”แน่ๆ แต่ที่ไม่แน่คือ เก้าอี้อธิบดีปศุสัตว์จะยังมั่นคงอยู่หรือไม่ เมื่อก่อนหน้านี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบกก็ถูก“เด้ง”จนต้องลาออกจากราชการไปสังเวยที่ทำให้รัฐบาลบิ๊กตู่ “เสียหน้า” เรื่องกฎหมายบังคับพกใบขับขี่....นับเป็นตัวอย่างให้เห็นหยกๆนี้เอง
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี