เดือนตุลาฯ เวียนมาบรรจบครบอีกครา อดย้อนรำลึกถึงศาสตร์พระราชา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของพวกเรามิได้ นึกถึงคราใดก็ปลาบปลื้ม ปริ่มล้นในใจทุกครั้งกับศาสตร์วิชาความรู้ต่างๆ มากมาย เพื่อให้ลูกหลานไทยได้นำไปใช้พัฒนาประเทศและหล่อเลี้ยงชีพทุกชนชั้นให้มีความ “กินดี อยู่ดี” โดยเฉพาะศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง ดิน น้ำ อากาศ ฝนเทียม การเกษตรทฤษฎีใหม่ และเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งล้วนเป็นแนวทางคำสอนที่ทรงคุณค่า
คำสอนของพระองค์ท่านที่เปรียบดังเพชรและทองคำเหล่านี้ ยังคงมีบางคนหรือบางหน่วยงานที่ยังไม่เข้าใจ หรือเข้าไม่ถึง พยายามที่จะบิดเบือน ปิดกั้น ย้อนแย้ง กลบเกลื่อน ทำให้ดูเป็นเรื่องล้าหลัง เนื่องด้วยไม่อยากใส่ใจ หรือไม่ก็ไม่ยอมศึกษาให้ลุ่มลึกเข้าถึง “จิตใจ” จึงไม่ยอมปฏิบัติตามให้สมกับที่เคยมีพระราชดำรัสสอนสั่งไว้ว่า...เมื่อจะกระทำการใดๆ ต้องทำแบบ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยเฉพาะนโยบายเรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ของภาครัฐที่ดูเหมือนจะให้การสนับสนุน แต่ก็ยังคงมีบางกลุ่มที่ยังคงพยายามนำเข้าสารพิษเข้ามาเพียงเพราะความแก่ได้ จนทำลายสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติในบ้านเมือง รวมถึงสุขภาพของคนไทยเอง
จึงเป็นเรื่องเศร้าที่ประเทศไทยยังจมปลักอยู่กับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าเป็นเรื่องของ “ดิน” ที่อาบเจือไปด้วยสารพิษจากยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหนอน โรค แมลงศัตรูพืช แม้กระทั่งหญ้าต่อไปก็จะอาจไม่ขึ้นไม่โต พืชไร่ไม้ผลต่างๆ ก็จะแคระแกร็น จะเพาะปลูกอะไรก็ต้องคอยอาศัยแต่ปุ๋ยยาฮอร์โมนจากบริษัทห้างร้านอยู่ร่ำไป “น้ำ” ตามห้วย หนอง คลอง บึง จะดื่ม ใช้ อาบก็ไม่ได้ น้ำดิบที่นำมาผลิตประปาก็ปนเปื้อน ผลกระทบในปัจจุบันที่แม้แต่ “น้ำนมแม่” ยังมีสารพิษตกค้างไปสู่ลูก ผู้คนเป็นมะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ เกิดโรคเนื้อเน่า ที่มีสาเหตุจากการสัมผัสอุปโภคบริโภคน้ำในลำน้ำ นาข้าว หรืออ่างเก็บน้ำเป็นเวลานาน หลายรายมีบาดแผลในบริเวณแขน ขา จากการทำงาน และไปล้างตัวในแหล่งน้ำที่รองรับสารเคมีทางการเกษตร (ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
อย่างไรก็ตาม จากอดีตถึงปัจจุบันยามใดที่สยามประเทศต้องประสบกับวิกฤต มักจะมีวีรบุรุษ วีรสตรีลุกขึ้นมาปกป้อง ดั่งภาษิตที่ว่า “อยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี”เช่นเดียวกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เรายังมี ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือลูกศิษย์ของท่านจะเรียกว่า “อาจารย์ยักษ์” ผู้ที่กำลังต่อสู้ฝ่าฟันกับมรสุมในเรื่องการระงับยับยั้งวัตถุอันตรายทางการเกษตร เพื่อมิให้มีการนำเข้ามาในประเทศ และเป็นผู้ประกาศท้าชนกับกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่นำเข้าสารเคมีอันตราย โดยให้รัฐบาลและเกษตรกรทั่วประเทศจะต้องหยุดการใช้สารเคมีที่เป็นพิษทันที ไม่ว่าจะเป็น “คลอร์ไพรีควอท” สารเคมีกำจัดโรคศัตรูพืชที่มีพิษรุนแรงและยาฆ่าหญ้ากลุ่ม “ไกลโฟเสต” และ “พาราคว็อท” ที่หลายประเทศเลิกใช้ไปตั้งนานแล้ว จนเกิดกระแสข่าวต่างๆ นานา ว่าอาจจะทำให้ท่านต้องหลุดพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันเลยทีเดียว และในประวัติศาสตร์การเมืองเท่าที่สังเกตมักจะมีข่าวลือเกิดขึ้นก่อนเสมอ ประดุจว่าเป็นการโยนหินถามทาง หลังจากนั้นข่าวจริงก็จะตามมา หวังว่าประวัติศาสตร์คงจะไม่ซ้ำรอยกับท่านอาจารย์ยักษ์อีกครั้ง
ในฐานะที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษเป็นองค์กรที่อยากให้สารพิษหมดไปจากประเทศไทยขอเป็นกำลังใจส่งไปให้อาจารย์ยักษ์สามารถฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆ และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าท่านเป็นชายชาตินักรบที่มีความกล้าหาญ กล้าท้าชนต่อสู้กับอำนาจและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า เพื่อดำรงไว้ซึ่ง “ศาสตร์ของพระราชา” และเชื่อว่าจะมีประชาชนคนของพระราชาอีกหลายกลุ่มหลายองค์กร ที่พร้อมจะสนับสนุนช่วยเหลือ และขอให้พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลก่อน เปรียบเสมือน “ดาบอาญาสิทธิ์” คอยปกป้องคุ้มครองให้อาจารย์ยักษ์ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ และประชาชนคนไทยให้อยู่รอดปลอดภัย ท้ายนี้ขอน้อมนำพระบรมราโชวาท มาเผยแพร่เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ปวงชนชาวไทยทุกท่าน
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ (ไทยกรีน อะโกร)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี