คุก27ปี2นายทหาร
ค้ามนุษย์โรฮีนจาข้ามชาติ
ชดใช้เงินคนตาย-เจ็บ
เป็นขรก.โทษเพิ่ม2เท่า
ปฏิบัติผิดหลักเอชโออี
ศาลสั่งจำคุก 2 อดีตนายทหาร ร่วมลักลอบค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ส่งให้ขบวนการค้ามนุษย์ มีความผิดหลายกระทง ให้เพิ่มโทษฐานเป็นขรก.ทำผิดเสียเองอีกสองเท่า รวมโทษจำคุกคนละ 27 ปี ชี้ผิดหลัก“เอชโออี”
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ห้องพิจารณาคดี 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกศาลอ่านคำพิพากษาในคดี คม.1/2560 ที่พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีค้ามนุษย์ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.อ.ณัฎฐสิทธิ์ หรือนายณัฏฐ์สิทธิ์ มากสุวรรณ อดีตรอง ผอ.กอ.รมน.จังหวัดสตูล กับ น.อ.กัมปนาท หรือ นายกัมปนาท สังข์ทองจีน อดีตหัวหน้าส่วนประสานงานชายแดนทางทะเลอันดามัน กองทัพเรือภาค 3 จังหวัดสตูล ร่วมเป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานผิดตามพระราชบัญญัติองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มาตรา 5,8 พระราชบัญญัติค้ามนุษย์ มาตรา6,10,13 และพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง,ความผิดกฎหมาย.อาญาข้อหา ข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมโดยใช้กำลังประทุษร้าย,จับคนไปเรียกค่าไถ่ทำให้ตาย,ทำร้ายผู้อื่นทำให้ตาย,เอาคนลงเป็นทาสตาม ป.อาญามาตรา309,313,290,312 ประกอบ 83และให้เพิ่มโทษฐาน เป็นข้าราชการทำผิดเสียเองอีก 2 เท่า จำเลยได้ประกันตัว โดยจำเลยที่ 1มาในชุดซาฟารีสีดำท่าทางองอาจแบบนายทหาร ส่วนจำเลยที่ 2 แต่งกายลำลองแนวป๋า
โดยอัยการฟ้องว่าเมื่อเดือนม.ค.2554 ถึงพ.ค.2558จำเลยกับพวกลักลอบค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาจากบังคลาเทศ และ รัฐยะไข่ เมียนม่า23 คน อายุ15ถึง18ปี มากักขังทำร้ายร่ายการจนตาย ก่อนนำตัวชาวโรฮิงญา ส่งให้ขบวนการค้ามนุษย์ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจหลายปากเบิกความสอดคล้องกันว่าเมื่อระหว่างปี 2554 ถึง 2558มีคนต่างด้าวจากประเทศเมียนมาร์ บังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน และชาวโรฮิงญา ลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทยทางจังหวัดสงขลา สตูล และจังหวัดอื่นๆโดยเข้าชายฝั่งบ้าง หลบตามเกาะบ้าง มีการตั้งแคมป์ อย่างแออัด อดอยากและเสียชีวิต ต่อมา มีขบวนการค้ามนุษย์พบเห็นจึงลักลอบพาเข้าประเทศโดยทางรถยนต์เข้ามาทำงาน โดยตั้งแคมป์ชั่วคราวก่อนพาขึ้นรถยนต์นำไปส่งยังสถานที่ต่างๆโดยมีข้าราชการของรัฐร่วมเกี่ยวข้อง
เมื่อประมาณปี2558 ตำรวจ ออกตรวจพบว่า ในพื้นที่บางส่วนที่อ.สะเดา สงขลา กับ อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล มีแคมป์ของชาวโรฮิงญา หลบซ่อนอยู่ โดยเฉพาะที่สะเดามีแคมป์ชาวโรฮิงญา 26 คน มีหลุมศพหลายศพ สอบสวนผ่านตำรวจที่พูดโรฮิงญาได้ทราบว่าเดินทางมาทางอันดามันมีคนถือปืนคุม ให้อาหารอย่างอดอยากและเมื่อมาอยู่แออัดแล้วก็ต้องเดินเท้าต่อไป ยังอีกแคมป์ทราบว่าชื่อแคมป์เขาแก้วเมื่อทราบเช่นนั้นตำรวจจึงกวดขันจับกุม
ทั้งนี้การจับคนหลบหนีเข้าเมืองทางทะเลมีหลักสากลที่ราชการไทยนำมาใช้คือ”หลักเอชโออี” คือถ้าจับได้บนฝั่งให้ผู้จับ นำส่งตำรวจท้องที่ดำเนินคดีตาม พรบ.คนเข้าเมือง แต่ถ้าจับได้ในเรือกลางน้ำ ให้ผู้จับ ส่งฝ่ายทหารเพื่อผลักดันออกนอกประเทศ
วันเกิดเหตุ ตามฟ้องตำรวจจับคนโรฮิงญาได้ 23 คนที่มาอาศัยบนเกาะฝั่งทะเลอันดามันจ.สตูล ระหว่างสอบสวนได้มีจำเลยที่ 1 เดินทางมากับเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งขอรับตัวไปเพื่อผลักดัน แต่ตำรวจไม่ยอมเนื่องจากเห็นว่าผิดหลักการเอชโออี. จำเลยที่1ยืนยันจะรับไป ตำรวจจึงทำบันทึกเป็นหลักฐาน จากนั้นจำเลยที่1รับชาวโรฮิงญาลงเรือหางยาว แล้ววิ่งหายไปโดยไม่มีทหารควบคุมเช่นเดียวกับก่อนหน้านั้น ก็มีการจับคนต่างด้าว ที่เกาะตะรุเตาพบชาวโรฮิงญา 167คน จำเลยที่1ก็มารับตัวไปในลักษณะเดียวกันแต่ครั้งนั้น มีคนจำนวนมากจำเลยที่1ขอฝากไว้ 3 วัน
ต่อมาก็มารับตัวไปตำรวจตั้งข้อสังเกตว่าการเอาตัวชาวโรฮิงญาไปทุกครั้งไม่มีทหารควบคุมและไปไหนก็ไม่แจ้งไม่มีเรือของราชการประกบติดตาม จำเลยที่1รับในข้อเท็จจริงว่า กอ.รมน.รับผิดชอบปัญหาชาวโรฮิงญาแบบบูรณาการ ตามหลักการคือถ้าพบในทะเล คือพวกหนีมาใหม่ ให้ผลักดันกลับประเทศ ถ้าพบบนบก ให่ส่งตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยจำเลยที่1รับว่ารับชาวโรฮิงญาไปจริงตามหน้าที่
แต่ศาลเห็นว่าเป็นการผิดวิสัยและผิดหลักการปฏิบัติตามหลักเอชโออี.พร้อมทั้งยังมีพยานโจทก์ เป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเบิกความว่า เคยมีการจับกุมชาวเมียนมาร์ 25 คน บนบก ขณะหลบหนีโดยรถกระบะดัดแปลง จำเลยที่1 ก็มาขอรับตัวไป ตำรวจไม่ยอมส่งตัวให้ จำเลยที่1ก็กลับไป ต่อมายังมีเหตุเรือแตกมีชาวโรฮิงญา120คนประสบภัยหนีขึ้นฝั่ง ที่บ้านราไวย จ.สตูล จำเลยที่1ก็มารับตัวไป ศาลเห็นว่าจำเลยที่1เกี่ยวข้องกับการรับตัวและขนส่งชาวโรฮิงญาไปให้ขบวนการค้ามนูษย์โดยใช้อำนาจในตำแหน่งแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายโดยอ้างว่าจะเอาตัวไปผลักดันออกนอกประเทศโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์เอชโออีพฤติการณ์มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม พยานจำเลยรับฟังไม่ได้
ส่วนจำเลยที่ 2พบว่า มีการเปิดบัญชีธนาคารทหารไทยพานิชย์ สาขาเทสโก้โลตัส จ.ระนอง มีการรับเช็คจากนาย ก.กลุ่มขบวนการลักลอบค้ามนุษย์มาใส่บัญชีไว้หลายครั้ง ตั้งแต่ปี2555ถึง57 เป็นเงินตั้งแต่1.2 แสนบาท ถึง 4 แสนบาท รวม 1.6 ล้านบาท เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้วก็ถอนออกไป มีการให้เบอร์โทรกลับ กับกลุ่มนาย ก.ที่ถูกแยกดำเนินคดีเพื่อติดต่อกัน แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นเงินงบพิเศษค่าเสบียงจาก ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษบ้าง เงินค่าตอบแทนจากการทำธุรกิจอาหารทะเลบ้าง เงินจากการให้เช่าพระเครื่องชื่อดังบ้าง ล้วนไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน ทั้งเป็นเงินที่สูงผิดปกติจากเงินเดือนประจำ จึงรับฟังไม่ได้
ศาลพิเคราะห์ คำเบิกความและพยานหลักฐาน ทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องจริงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน พิพากษา ฐานมีร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เนื่องจาก จำเลยทั้งสองเป็นข้าราชการจึงต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า ให้จำคุกคนละ 8 ปี,ฐานร่วมกันตั้งแต่ 3 คนค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุเกิน18ปีระวางโทษเป็น2เท่า จำคุกคนละ12ปี,ฐานสมคบกันตั้งแต่2คนขึ้นไปเป็นเจ้าหน้าที่ค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุเกิน18ปี จำคุกคนละ6ปีและฐานร่วมกันรับ และให้ที่พักพิงแก่บุคคลต่างด้าว จำคุกคนละ1ปีรวมจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ27ปีและให้ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนแก่คนตายและคนเจ็บ ตาม ป.วิอาญามาตรา44/1ในจำนวนตามที่โจทก์ขอมาให้ครบทั้ง23คน จากนั้นศาลจึงออกหมายขัง ส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี