โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูการทำนา เป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ริเริ่มปฏิรูปการบริหารจัดการภาคการเกษตรของไทย ด้วยการวางแผนการผลิตทางการเกษตรของประเทศเพื่อสนองนโยบายการตลาดนำการผลิตของรัฐบาล โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
สำหรับการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว จะมีการบูรณาการร่วมกันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5 หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. โดยใช้กลไกสหกรณ์เข้ามาบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การรวบรวมผลผลิตและประสานภาคเอกชนกำหนดราคารับซื้อล่วงหน้าและเปิดจุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรถึงในพื้นที่
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า การดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูการทำนา เป็นนโยบายสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังที่จะสร้างสมดุลของปริมาณผลผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง แล้วหันมาปลูกพืชทดแทนที่มีศักยภาพและสามารถบริหารจัดการด้านการตลาดได้ ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ยังมีความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เชิญบริษัทเอกชน 13 ราย ซึ่งเป็นตัวแทนสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์มาหารือถึงเรื่องคุณภาพและราคาข้าวโพดที่จะรับซื้อจากเกษตรกร รวมถึงกำหนดจุดรับซื้อในพื้นที่ทั้ง 33 จังหวัด โดยจะมีการแบ่งจุดรับซื้อที่แน่นอนว่าบริษัทใดจะเข้าไปรับซื้อในพื้นที่ใด ซึ่งจะต้องมีความชัดเจนภายในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ และการเปิดจุดรับซื้อต้องเข้าถึงพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้เกษตรกรมีความสะดวกในการรวบรวมข้าวโพดมาขายได้ในทันทีที่มีการเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ยังได้ประสานไปยังสมาคมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ เพื่อหารือถึงเงื่อนไขในการขายเมล็ดพันธุ์ให้สหกรณ์เพื่อนำไปกระจายสู่เกษตรกร ทางบริษัทจะต้องส่งนักวิชาการเข้ามาช่วยดูแลและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกข้าวโพดให้กับเกษตรกร ตั้งแต่แรกเริ่มไปจนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ
หลังจากทั้ง 5 หน่วยงาน ร่วมกันระดมปูพรมสำรวจ พบว่า มีพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกข้าวโพดหลังนา จำนวน 2.8 ล้านไร่ โดยขณะนี้มีพื้นที่สนใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 850,000 ไร่ เกษตรกรรวมทั้งหมด 97,000 ราย ส่วนหนึ่งในนี้เป็นสหกรณ์ 265 แห่ง จำนวน 37,000 ราย พื้นที่ 320,000 ไร่ และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในเรื่องของเงินทุน โดยให้กู้รายละไม่เกิน 30,000 บาท หรือไร่ละ 2,000 บาท คนละไม่เกิน 15 ไร่ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ถ้ากู้ 6 เดือน ดอกเบี้ยจะอยู่ประมาณ 1.50 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเบี้ยประกันภัย 65 บาทต่อไร่ เมื่อได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ น้ำท่วม หรือถูกแมลงศัตรูพืชทำลาย จะได้รับเงินชดเชย ไร่ละ 1,500 บาท ซึ่งจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูกในเดือนพฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562
ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้มีการดำเนินการนำร่องโครงการดังกล่าวไปบ้างแล้ว โดยนำร่องที่สหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่ง น.ส.ปิยาพัชร สุจรรยา ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด เล่าว่า พื้นที่เพาะปลูกในอำเภอพรหมพิรามมีกว่า 16,000 ไร่ ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน ปัจจุบันสหกรณ์มีการนำร่องโครงการฯไปแล้วทั้งหมด 1,131 ไร่ ซึ่งทางสหกรณ์จะคัดเลือกเฉพาะสมาชิกที่มีความพร้อมด้านพื้นที่เพาะปลูกเพื่อไม่ให้สมาชิกได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมโครงการ โดยสหกรณ์ฯ ได้ทำ MOU การตลาดกับ 2 บริษัท คือ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ และบริษัท เบทาโกร สหกรณ์ซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ และผลผลิตที่ได้จะนำไปขายให้กับ บริษัท เบทาโกร ในราคาตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ โดยจะรวบรวมผลผลิตในพื้นที่นำร่องได้ประมาณเดือน มกราคม 2562 และคาดว่าจะได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 1.4 ตัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี