วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่งทั้งประเทศก่อนที่จะสิ้นฤดูฝนว่า มีปริมาณน้ำในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 80 ของปริมาณการกักเก็บ ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีมาก แต่เนื่องจากปริมาณฝนในปีนี้ไม่กระจาย กระจุกตัวในบางพื้นที่ ทำให้มีเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าร้อยละ 60 ถึง 8 เขื่อน โดยอยู่ในภาคเหนือ2 เขื่อน คือ เขื่อนแม่มอก เขื่อนแม่กวงอุดมธารา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 เขื่อน คือ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนห้วยหลวง เขื่อนมูลบน และ เขื่อนลำนางรอง ภาคกลาง 2 เขื่อน คือ เขื่อนกระเสียว และ เขื่อนทับเสลา ซึ่งจะต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรอบครอบเพื่อให้ไม่ให้เกิดภาวะวิกฤติขาดแคลนน้ำ
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนทั้ง 8 แห่งดังกล่าว กรมชลประทานจะนำแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชน ภายใต้คณะกรรมการจัดการชลประทาน หรือ คณะกรรมการ JMC ที่มีทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำร่วมเป็นคณะกรรมการ มาใช้ในการวางแผนบริหารจัดการน้ำ ให้เพื่อเพียงพอใช้สำหรับการอุปโภค-บริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ของลุ่มน้ำ และเหลือสำรองไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2562
ทั้งนี้การบริหารจัดการน้ำโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ประสบผลสำเร็จมาแล้วในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่เขื่อนกระเสียว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ที่เมื่อฤดูกาลปี 2558/59 เคยประสบปัญหาน้ำในเขื่อนมีปริมาณน้อยเช่นเดียวกับปีนี้ แต่กรมชลประทาน ร่วมกับ คณะกรรมการ JMC เขื่อนกระเสียว สามารถบริหารจัดการน้ำให้รอดพ้นวิกฤติขาดแคลนน้ำในครั้งนั้นมาได้ ซึ่งคณะกรรมการ JMC ของเขื่อนกระเสียว มีความเข้มแข็งมากทำให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้รับรางวัลต่างๆ มากมายทั้งในระดับประเทศ และระดับโลกจากสหประชาชาติมาแล้ว
รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำในเขื่อนกระเสียวปีนี้ มีปริมาณน้ำใกล้เคียงกับปี 2558/59 คาดการณ์ว่าหลังจากสิ้นฤดูฝน ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของการส่งน้ำตามแผนการจัดสรรน้ำฤดูแล้งปี 2561/62 เขื่อนกระเสียวจะมีปริมาณน้ำต้นทุนใช้การได้ประมาณ 58 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) จากปริมาณน้ำจุของเขื่อน 240 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 22 ของปริมาณน้ำใช้การเท่านั้น กรมชลประทานได้วางแผนการจัดสรรน้ำตั้งแต่เดือน พ.ย. 2561 - เม.ย. 2562 ดังนี้ จัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค 2 ล้านลบ.ม. รักษาระบบนิเวศน์ 9 ล้านลบ.ม. อุตสาหกรรม 1 ล้าน ลบ.ม. และจัดสรรเพื่อการเกษตรเฉพาะอ้อยและพืชต่อเนื่อง(ข้าวนาปีที่ยังไม่เก็บเกี่ยว) 30 ล้าน ลบ.ม. รวม เป็น 42 ล้าน ลบ.ม. ส่วนที่เหลืออีก 16 ล้าน ลบ.ม. จะสำรองไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2562
อย่างไรก็ตาม แผนการจัดสรรน้ำดังกล่าว คณะกรรมการ JMC ของเขื่อนกระเสียว จะพิจารณาตามความเหมาะสมและสถานการณ์จริงอีกครั้ง ซึ่งจะมีการควบคุมการใช้น้ำอย่างรัดกุมเคร่งครัดตามแผนที่วางไว้ ให้ไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยปริมาณน้ำที่มีอยู่ จะเพียงพอสำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศน์ อย่างแน่นอน ส่วนการทำนาปรังนั้นในฤดูแล้งปี 2561/62 จะต้องงดทั้งหมด ซึ่งกรมชลประทานได้เตรียมมาตรการจ้างแรงงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่ได้ทำนาปรังให้มีรายได้รองรับไว้แล้ว แต่ถ้าหากมีฝนตกลงมาเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนมีมากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณการเก็บกัก คณะกรรมการ JMC ก็จะมีการพิจารณาให้ทำนาปรังหรือปลูกพืชที่ได้น้ำน้อยได้ตามความเหมาะสมต่อไป
“แผนการบริหารจัดการน้ำโดยคณะกรรมการ JMC ดังกล่าวทำให้เกิดความสามัคคี รู้คุณค่าของน้ำ ซึ่งกรมชลประทานจะขยายผลการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนกระเสียว ไปใช้ในการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนที่เหลืออีก 7 แห่งที่มีปริมาณน้ำน้อย ให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งปีนี้ และมีน้ำสำรองสำหรับการทำการเกษตรในช่วงต้นฤดูฝนปีหน้า” รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวย้ำในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี