6 พ.ย.61 นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ตนได้กำชับให้สถานศึกษาในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ ทำการสำรวจจำนวนเด็กนักเรียนที่เรียนอยู่จริงในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2561 ซึ่งได้เปิดภาคเรียนไปเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยให้ส่งข้อมูลมายัง สพฐ.ภายในวันที่ 10 พ.ย.นี้ เพื่อ สพฐ.จะได้จัดสรรงบฯ ปี 2561 ที่เหลืออีก 30% ลงไปให้กับสถานศึกษาโดยเร็ว ขณะเดียวกัน ก็ให้วางแผนการใช้งบโครงการต่างๆ ตามกรอบวงเงินของงบฯ ปี 2562 ที่ได้รับและจะใช้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ไว้ล่วงหน้า โดยให้ครูมีส่วนร่วมในการวางแผนและนำเข้าคณะกรรมการสถานศึกษาให้ความเห็นชอบ
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาตัวเลขนักเรียนซ้ำซ้อน หรือ "เด็กผี" นั้น เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้หารือกับ นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) ว่าหากเด็กย้ายไปเรียนในโรงเรียนสังกัด สพฐ.เช่นเดียวกันจะไม่มีปัญหาตัวเลขซ้ำซ้อน เพราะ สพฐ.มีระบบการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่เด็กถ้าย้ายไปเรียนโรงเรียนในสังกัดอื่น แล้วไม่แจ้งลาออกจากโรงเรียนเดิม เช่น ไปเรียนโรงเรียนในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ข้อมูลจะยังค้างอยู่ในโรงเรียนเดิมของ สพฐ.ดังนั้น จึงขอให้โรงเรียนปลายทางที่รับเด็กเข้าเรียนใหม่ควรดูหลักฐานการขอย้ายไปอย่างถูกต้อง ซึ่ง ปลัด ศธ.บอกว่ากำลังเร่งทำโปรแกรมตรวจสอบจำนวนเด็กที่แท้จริงในภาพรวมทั้งระบบ คาดว่าจะเสร็จในต้นปี 2562
"โรงเรียนที่ได้รับงบการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ไม่มีเด็กเรียนอยู่จริง แม้นักเรียนเขายังไม่ได้ลาออก ทางโรงเรียนก็ไม่ควรนำงบฯ ไปใช้ โดยเฉพาะงบฯ โครงการเรียนฟรี เรียนดี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ควรสงวนไว้และส่งเงินคืน สำหรับการจัดสรรงบฯ อุดหนุนฯ สพฐ.จะทำเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรก เมื่อโรงเรียนเปิดภาคเรียนที่ 1 ในวันที่ 16 พ.ค.ของทุกปี สพฐ.จะรอให้ตัวเลขเด็กนิ่งถึงวันที่ 10 มิ.ย.จากนั้นก็จะจัดสรรงบฯ ลงไป 70% ของจำนวนเด็กที่โรงเรียนแจ้งมา ส่วนช่วงที่ 2 เมื่อเปิดภาคเรียนที่ 2 ในวันที่ 1 พ.ย.และจะรอเช็คข้อมูลอีกครั้งในวันที่ 10 พ.ย.และจัดสรรงบฯ ที่เหลืออีก 30% ไปให้ ทั้งนี้ หากเป็นโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ด้วยกัน โรงเรียนใดที่เด็กหายไป ก็จะไม่ได้รับงบฯ เต็ม 30% แต่งบฯ ส่วนที่ขาดจะไปเพิ่มในอีกโรงเรียนที่รับเด็กคนนั้นเข้าเรียน" นายบุญรักษ์ กล่าว
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาตัวเลขซ้ำซ้อนทั้งระบบ สพฐ.ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ที่มีข่าวว่ามีเด็กผี เกือบ 70,000 คนนั้น ซึ่งข้อมูลนี้ไม่น่าจะจริง จึงจะให้สแกนนักเรียนแบบละเอียดว่าแต่ละโรงเรียนมีเด็กเรียนจริงกี่คน มีเด็กค้างในบัญชีที่ไม่มาเรียนกี่คน และดูว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น จากนั้นจะนำกรณีของ จ.ชัยภูมิ มาเป็นกรณีศึกษา และถือโอกาสสแกนโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปรับระบบทั้งหมด ทั้งนี้ สำหรับปัญหาเด็กค้างบัญชีที่ไม่มาลาออกนั้น ถึงแม้โรงเรียจะทราบว่าเด็กไม่มาเรียน แต่ทางโรงเรียนก็ไม่สามารถคัดชื่อเด็กออกได้เอง แต่ย้ำไปว่าจำนวนเงินและจำนวนเด็กจะต้องสัมพันธ์กัน ส่วนชื่อเด็กที่ไม่ลาออกก็จะค้างอยู่แบบนั้น ซึ่ง สพฐ.กำลังศึกษาเรื่องนี้ และดูข้อกำหนดใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ว่าจะแก้ไขกรณีนี้อย่างไรต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี