เครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการ ตามสอบโกงค่าจ้างพี่เลี้ยงคนพิการ ตาม ม.35 ที่กาฬสินธุ์ แฉมี จนท.รัฐเอี่ยว หลักฐานชัด พฤติกรรมช่วยแก้เอกสารเข้าข่ายผิด ม.157-ม.200 ชง “ป.ป.ช.-พม.-แรงงาน” เช็คบิล ส่อทำเป็นขบวนการ ขีดเส้นกลาง พ.ย.บุกทวง ฮึ่ม!ยกระดับเรียกร้อง ถ้าไร้คำตอบ ด้านผู้ปกครองคนพิการรุ่นแรก โวยถูกสวมสิทธิ์ฮุบค่าจ้างมา2ปีเพิ่งรู้ ลั่นพร้อมร่วมตบเท้าทวงสิทธิ์
ความคืบหน้ากรณีตัวแทนผู้ปกครองคนพิการใน จ.กาฬสินธุ์ ออกมาร้องเรียนเรื่องเงินค่าจ้างผู้ดูแลคนพิการ ในโครงการจ้างเหมาบริการตามมาตรา35คนละ1แสนบาทต่อปี หรือเดือนละเกือบหมื่นบาทถูกชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาจ.กาฬสินธุ์ยักยอกด้วยวิธีให้เปิดบัญชีทำงานจากนั้นเก็บบัตรเอทีเอ็มและสมุดบัญชีก่อนจ่ายให้รายเดือนแค่คนละ2,000-4,000บาท แต่โอนเงินเข้าจริงเกือบหมื่นบาทจนผู้ว่าฯกาฬสินธุ์ สั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวให้รู้ผลภายใน10วันตามที่มีการเสนอข่าวนั้น
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปรีดา ลิ้มนนทกุล ประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้เดินทางมาติดตามผลสอบข้อเท็จจริงที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์สั่งตั้งคณะกรรมการมาดำเนินการ พร้อมเปิดเผยว่าปัญหาร้องเรียนของผู้ปกครองคนพิการที่ได้รับสิทธิ์จ้างเหมาบริการตามมาตรา 35 รวมทั้งเรื่องร้องเรียนกองทุนคนพิการต่างๆผ่านสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พมจ.)จากทั่วประเทศ จนถึงขณะนี้ มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา 15 จังหวัด จากการรวบรวมหลักฐานวันนี้ จะนำสำนวนส่งฟ้องศาลในกรณี 3 จังหวัดแรกคือ กรุงเทพฯ นนทบุรีและสมุทรสาคร
นายปรีดา กล่าวว่า ทั้งนี้ เครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการยังส่งหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.),คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.),กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ),คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กมส.)สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภารรัฐ (ป.ป.ท.)ให้ร่วมตรวจสอบและพิจารณากรณีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิและปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หลังจากนี้อีกระยะจะไปขอทราบความคืบหน้าผลการตรวจสอบ
“กรณีร้องเรียนที่ จ.กาฬสินธุ์พบหลักฐานชัดเจนระบุถึงพฤติกรรมที่ส่อไม่โปร่งใส ลักษณะเป็นการช่วยเหลือบิดเบือนหลักฐาน แก้ไขเอกสาร ไม่นำผู้ทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เข้าข่ายความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157หรืออาจเข้าข่ายทำการหรือไม่ทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อช่วยบุคคลใดมิให้ต้องโทษ หรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา200จึงเป็นที่มาของการส่งเรื่องร้องต่อองค์กรอิสระและสายงานบังคับบัญชาเพื่อตรวจสอบตามขั้นตอน โดยระบุรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยื่นร้องต่อ ป.ป.ช.ให้สอบสวนทั้งวินัยและอาญา ก่อนส่งฟ้องศาลต่อจากกรณี กทม.นนทบุรีและสมุทรสาคร”นายปรีดา กล่าว
และว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเมินความเสียหายได้ปีละ1,500ล้านบาท จึงเป็นประเด็นที่ต้องสงสัยว่า ทำเป็นขบวนการ ทางเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์ฯให้เวลาผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงการพัฒนาสังคมฯและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)และกระทรวงแรงงานถึงกลางเดือนพฤศจิกายนว่าจะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่มีส่วนเกี่ยวข้องปัญหาการร้องเรียนอย่างไร หากไม่มีคำตอบชัดเจน จะยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไป คาดว่าจะมีคนพิการและเครือข่ายนับหมื่นคน ตบเท้าออกมาเรียกร้องสิทธิ์และทวงความเป็นธรรมถึงสำนักนายกรัฐมนตรี
ด้านนางปุนิกา เกริกชัยสกุล อายุ 52 ปี ชาวกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิ์ตามมาตรา 35 กับชมรมผู้ปกครองคนพิการ จ.กาฬสินธุ์รุ่นแรก ปี 2560เผยว่า พอเห็นนางฐานิดา อนุอัน ออกมาเชิญชวนผู้ปกครองคนพิการออกมาทวงสิทธิ์ จึงชักชวนผู้ปกครองอีกหลายรายออกมาร้องเรียนกับเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์ฯ พร้อมแจ้งข้อมูลว่า ได้รับการกระทำจากชมรมผู้ปกครองคนพิการ จ.กาฬสินธุ์ในลักษณะเดียวกัน คือถูกปกปิดข้อมูลรายละเอียดสัญญาที่ทำกับบริษัทไทยเอ็น โอเค จำกัด จึงไม่เคยรู้ว่าความจริงว่าได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,125 บาท เพิ่งจะมารู้ตอนที่นางฐานิดาออกมาร้องเรียน ที่ผ่านมาได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน แต่ละคนได้รับเท่ากัน เดือนละ 4,000 - 4,500 บาท บางคนได้เดือนละ 2,000 บาท ขึ้นอยู่กับอำนาจของประธานชมรมฯ เช่น บ้านใกล้ บ้านไกล หรือมาเข้าชมรมสัปดาห์ละ 3 วันหรือไม่ แต่ที่ทราบคือได้รับค่าจ้างเพียง 10 เดือน ส่วนอีก 2 เดือนถูกหักเข้าชมรม
“ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ปกครองคนพิการออกมาร้องเรียน เพราะไม่รู้รายละเอียดสัญญา และเข้าไม่ถึงสิทธิ์คนพิการตามกฎหมาย พอเห็นข่าวร้องเรียน จึงรู้ว่าถูกลิดรอนสิทธิ์และถูกสวมสิทธิ์มา 2 ปี จึงออกมาเป็นแนวร่วมกับนางฐานิดาและพร้อมเดินหน้าทวงสิทธิ์ความเป็นธรรมให้คนพิการใน จ.กาฬสินธุ์ และทั่วประเทศต่อไป”นางปุนิกา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี