ศุกร์ที่แล้วได้กล่าวถึง ร่างพ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ.... ที่กระทรวงเกษตรเสนอผ่าน ครม. ไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะนี้ยังอยู่ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนเสนอ สนช.
ได้บอกด้วยว่า เคยมีร่างพ.ร.บ. คล้ายๆ แบบนี้เมื่อปี 2550 ชื่อว่า ร่างพ.ร.บ. กองทุนส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ที่หมายจะเก็บภาษีปุ๋ยเคมี และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช มาตั้งเป็นกองทุน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเกษตรอินทรีย์ แต่ร่างพ.ร.บ. ฉบับนั้นถูกคัดค้าน เพราะจะสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรส่วนใหญ่ และยังสร้างความแตกแยกระหว่างเกษตรเคมี กับเกษตรอินทรีย์อีกต่างหาก
10 ปี ผ่านไป ร่างพ.ร.บ. เกษตรกรรมยั่งยืนกลับมาอีกครั้ง มาคราวนี้ไม่มีคำว่า “กองทุน” แต่มีคำว่า “ระบบ” มีชื่อว่าร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ..... ซึ่งเนื้อหาสาระไม่ต่างจากเดิมมากนักร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงถูกตั้งข้อสังเกตอีกครั้ง และผู้ที่ตั้งข้อสังเกตอย่างเป็นการเป็นงาน จนมีการจัดเสวนากันเมื่อเร็วๆ นี้ คือ เครือข่ายเกษตรและอาหารปลอดภัย หรือ GAP Net
เครือข่ายเกษตรและอาหารปลอดภัย หรือ GAP Net เป็นการรวมตัวกันขององค์กรภาคการเกษตรทั้ง สมาคม ชมรม กลุ่ม รวมทั้งเกษตรกร ที่มีวัตถุประสงค์ตรงกัน คือ ต้องการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องต่อผู้บริโภคและสาธารณชน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรไทย
GAP Net มีข้อคิดเห็นต่อ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ไว้หลายประเด็น
ประเด็นแรก เกี่ยวกับสาระสำคัญที่เห็นว่า สาระของพ.ร.บ. ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร สร้างความแตกแยกระหว่างเกษตรกรไทย มีการเสนอตั้งหน่วยงานเป็นรูปนิติบุคคลซึ่งซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่แล้ว ซึ่งหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นนี้จะคล้ายๆ กับกองทุนที่มีชื่อเสียงกองทุนหนึ่ง ซึ่งมีงบประมาณจำนวนมาก แถมการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปในรูปคณะกรรมการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการยากแก่การตรวจสอบ และยากที่จะป้องกันการแต่งตั้งพวกพ้องเข้าไปเป็นกรรมการ
นิยามคำว่า “เกษตรกรรมยั่งยืน” ยังไม่ชัดเจน สร้างความสับสนให้กับเกษตรกรผู้ผลิต นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นแต่การเกษตรบางระบบ โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ และเกษตรชีวภาพ ทั้งๆ ที่การเกษตรในระบบที่ใช้เคมีก็ทำให้ยั่งยืนได้ถ้าใช้อย่างถูกต้อง
มีการกำหนดให้จัดเก็บภาษีปุ๋ยเคมี และสารเคมี เช่นเดียวกับ ร่าง พ.ร.บ. เมื่อ 10 ปีก่อน
ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำและเสนอร่าง พ.ร.บ. มีลักษณะเร่งรีบ ขาดการมีส่วนร่วมของเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในภาคการเกษตรส่วนใหญ่ มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นเพียง 2 ครั้ง ในเดือนมิถุนายน 2561 ที่ กทม. และในเดือนกรกฎาคม 2561 ที่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ที่จะมีการปรับเนื้อหาก่อนนำเสนอ ครม. ในเดือนกันยายน 2561
ประเด็นที่สาม ผลกระทบของ พ.ร.บ.ที่มีต่อเกษตรกร ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ มีเป้าหมายส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่เพาะปลูกเพียง 5 ล้านไร่ (เกษตรอินทรีย์) ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่ผลิตเพื่อส่งเป็นสินค้าออกทำรายได้ให้ประเทศ และ เลี้ยงประชากรในประเทศมีถึง 140 ล้านไร่ จึงเท่ากับเป็นการลิดรอนสิทธิ และสร้างความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม และเศรษฐกิจกับเกษตรกรส่วนใหญ่
นอกจากนี้การตรากฎหมายลักษณะเช่นนี้ เป็นการเลือกให้ความสำคัญกับการเกษตรเพียงบางส่วน และเป็นส่วนน้อย จึงไม่น่าจะสร้างความยั่งยืนได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และจะมีผลต่อการกำหนดนโยบาย งบประมาณ การพัฒนาการเกษตรให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงและความสามารถในการแข่งขันต่อไปในอนาคตด้วย
เห็นทีฝ่ายกฎหมายของกระทรวงเกษตรฯ จะต้องเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวาง และทันสมัยมากกว่านี้ ต้องทำการบ้านให้มากๆ ต้องละเอียดรอบคอบมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นกฎหมายนั้นจะถูกคัดค้านจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้คนในสังคม เพราะ กฎหมาย มีไว้เพื่อผดุงความยุติธรรมและเพื่อความสุขสงบของสังคม ไม่ใช่สร้างความขัดแย้ง
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี