ปีทองชาวนา
คาดส่งออกข้าว11ล้านตัน
โกยเงินเข้าไทย1.8แสนล.
แนะให้รักษาคุณภาพข้าว
ห่วงคู่แข่งพัฒนาสายพันธุ์
นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุ ถือเป็นปีทองของชาวนาไทย ขายข้าวได้ราคาดี คาดส่งออกแตะ11 ล้านตัน โกยเงินเข้าไทย 1.8 แสนล้าน แนะรักษาคุณภาพข้าวไทยให้ดีแต่กังวลคู่แข่ง เริ่มทำข้าวหอมได้ใกล้เคียงข้าวหอมไทย แต่ราคาต่ำกว่าไทยมาก
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้รายงานสถานการณ์ส่งออกข้าวในช่วงเดือนมกราคมถึง 23ตุลาคม ที่ผ่านมาพบว่าไทยส่งออกข้าวได้ 8.74ล้านตันขยายตัวร้อยละ 0.1เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ส่งออกได้ 8.73 ล้านตัน โดยยังคงมั่นใจว่าปีนี้ไทยจะส่งออกได้ 11ล้านตันตามเป้าหมาย มูลค่า 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 177,000 ล้านบาท เนื่องจากประเทศผู้นำเข้ามีความต้องการข้าวเพิ่ม แต่ผลผลิตในประเทศลดลง เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมทั้งประเทศในแถบแอฟริกา ทำให้ผู้ซื้อตื่นตัวนำเข้าข้าว เพื่อเก็บสำรองมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2562 คาดว่าไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 10 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้กระทรวงเกษตรของสหรัฐ หรือยูเอสดีเอ ประเมินว่า การส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ 11 ล้านตัน เนื่องจากผู้นำเข้า 2 ประเทศสำคัญ ทั้งฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย น่าจะนำเข้าลดลงรวมกันถึง 3 ล้านตัน เพราะปีนี้นำเข้าข้าวไปเก็บสตอกไว้แล้วจำนวนมาก หลังจากฟิลิปปินส์เกิดภัยธรรมชาติและอินโดนีเซียจะเข้าสู่ช่วงรอยต่อการเลือกตั้งปีหน้า ทำให้ต้องคงสตอกข้าวไว้สำรอง เพื่อความมั่นคง รวมทั้งยังมีปัจจัยลบปัญหาขาดแคลนข้าวที่เป็นที่นิยมของประเทศผู้ซื้อและข้าวหอมมะลิไทยในตลาดที่มีจำกัด และมาตรการรัฐบาลในการชะลอข้าวไม่ให้ออกสู่ตลาดพร้อม ๆ กัน ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
“ถือเป็นปีทองของชาวนาอย่างแท้จริง ซึ่งเพียงช่วงต้นฤดูราคาสูงถึง 17,500-18,000 บาทต่อตัน หากเทียบปีที่ผ่านมาในช่วงเดียวกันเฉลี่ยอยู่ที่ 12,000-14,000 บาทต่อตัน และแม้ว่าบางพื้นที่ชาวนาจะเหลือข้าวน้อย แต่ได้เข้าร่วมโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกในยุ้งฉาง จนราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยสูงถึงตันละ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ผู้ซื้อชะลอ หรือหันไปซื้อข้าวหอมมะลิจากแหล่งอื่นแทน ซึ่งเวียดนามเริ่มเน้นการปลูกพันธุ์ข้าวหอมเพิ่มขึ้นในปริมาณมาก แม้รูปลักษณ์จะไม่สวยเท่ากับหอมมะลิไทย แต่มีความหอมและนุ่มเช่นกัน ซึ่งราคาส่งออกเฉลี่ยเพียง 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเท่านั้น จึงเป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะราคาข้าวไทยแข่งขันได้ยาก โดยมองว่าราคาที่แข่งขันได้ควรเฉลี่ยที่ 850-900 ดอลลาร์สหรัฐ”ร.ต.ท.เจริญ ระบุ
ทั้งเสนอให้รัฐบาลบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เพราะแต่ละปีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงจากการที่รัฐบาลส่งเสริมลดพื้นที่เพาะปลูกและการที่เกษตรกรหันไปปลูกพืชไร่ เช่น ยางพารา และอ้อยมากขึ้น ประกอบกับปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นและซ้ำซากจนทำให้การคาดการณ์ตัวเลขผลผลิตเพาะปลูกข้าวจริงจึงไม่ชัดเจน หากข้อมูลเหล่านี้ชัดเจนการทำตลาดจะสะดวกและรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ในโอกาสที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ครบรอบ 100 ปี ในช่วงค่ำวันที่ 9 พ.ย.ที่ รร.ดุสิตธานี จัดงานฉลอง“1ศตวรรษแห่งความภาคภูมิใจ ปักธงข้าวไทยในเวทีโลก” เพื่อฉลองความสำเร็จของข้าวไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในเวทีโลกมาอย่างยาวนานโดยเชิญบุคคลสำคัญในวงการข่าวจากทั่วโลกมาร่วมงานเพื่อสะท้อนบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมข้าวไทย พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำในการส่งออกข้าวของโลกมีกิจกรรมไฮไลท์คือนิทรรศการ“รัชกาลที่ 9กับข้าวไทย”เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 “พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย”
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายจาก จ.บุรีรัมย์ว่านายจักรพล จงใจภักดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มกำกับและพัฒนาเศรษฐกิจการค้า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ นายสุเมธ วงศ์กระสันต์ หัวหน้าสำนักงานสาขาชั่งตวงวัดเขต 2-5 สุรินทร์ พร้อมเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบเครื่องชั่งน้ำยางพาราในพื้นที่ ต.เขาคอก อ.ประโคนชัย อ.บุรีรัมย์ หลังได้รับแจ้งจากประชาชนผ่านสายด่วน1569เพื่อเข้าตรวจสอบผู้ประกอบการรับซื้อยางพาราจำนวน 3 รายในพื้นที่ ต.เขาคอก อ.ประโคนชัย ไม่พบความผิดปกติของเครื่องชั่งแต่อย่างใด เนื่องจากน้ำหนักเครื่องตรงตามการตรวจสอบของชั่งตวงวัด โดยตุ้มกลางและตาชั่งกลางของชั่งตวงวัด
พร้อมยังได้ตรวจสอบสถานการณ์เก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์พบว่าเกษตรกรนิยมการตากข้าวเปลือกก่อนนำเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวและค้าขายตามปกติและจากการสอบถามเกษตรกรที่กำลังตากข้าว พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ ยังมีความต้องการที่จะตากข้าวก่อนจำหน่ายและเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกปีการผลิต 2561/62กับ ธกส.เนื่องจากได้ราคาที่สูงกว่าการขายเป็นข้าวสด และสามารถเลือกช่วงเวลาและช่วงราคาที่ต้องการในการจำหน่ายได้
ทั้งนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ประสานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดเพื่อสอบถามความต้องการข้าวเปลือกปีการผลิต2561/62พบว่า ชมรมโรงสีข้าวฯยินดีที่จะซื้อผลผลิตข้าวเปลือกไม่ว่าจะเป็นข้าวเกี่ยวสดความชื้น25 %ตันละ13,900-14,000 บาท(หากเกษตรกรไม่สะดวกจะตาก)หรือข้าวแห้งความชื้น15% คุณภาพต้นข้าว 36 กรัม ตันละ16,800-17,200 บาท
อีกทั้ง ชมรมโรงสีข้าวฯยังรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิจากกลุ่มเกษตรกรนาแปลงใหญ่จังหวัดบุรีรัมย์ที่ได้มาลงนาม MOUร่วมกันโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ พาณิชย์จังหวัด เกษตรจังหวัด เกษตรและสหกรณ์จังหวัด สหกรณ์จังหวัดบุรีรัมย์ และศูนย์วิจัยข้าวนครราชสีมา เป็นสักขีพยาน ในราคาสูงกว่าตันละ200บาทอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี