ศาลจำคุกอ่วม79สมาชิกสหกรณ์ครู2-15ปี "ดร.ก๊ก"กับพวกลวงขายโควต้าหวยให้6สหกรณ์ออมทรัพย์ครู เสียหายนับแสนรายมูลค่า5พันล้าน ยกฟ้อง2รายยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์
14 พ.ย.61 เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฉ้อโกง หมายเลขดำที่ 3357/2557 ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงราย จำกัด ร่วมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี, สกลนคร, ราชบุรี, ยโสธร และกาฬสินธุ์ เป็นโจทก์ที่ 1-6 ร่วมกันยื่นฟ้อง บริษัท เทวาสิทธิ พิฆเนศ จำกัด กับพวกรวม 110 ราย เป็นจำเลย ที่มี นายศรีสุข รุ่งวิสัย อดีตสมาชิกวุฒิสภาสรรหา จำเลยที่ 3, นายก๊ก ดอนสำราญ ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย จำกัด จำเลยที่ 5, นายสุรศักดิ์ ยศปัญญา ผู้จัดการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย จำเลยที่ 6 ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันเป็นผู้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต ตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342, 352, 353
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 18 ส.ค.53 - 12 พ.ย.2554 พวกจำเลยซึ่งเป็นประธานสหกรณ์ ผู้จัดการสหกรณ์ และสมาชิกสหกรณ์ต่างๆ ได้ร่วมกันหลอกลวงสมาชิกสหกรณ์ฯ และคนอื่นๆ ว่าได้โควต้า ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมาให้สมาชิกสหกรณ์ประมาณ 1 แสนราย จำหน่ายเพื่อเป็นสวัสดิการ แต่กลับไม่นำสลากดังกล่าวมาเป็นสวัสดิการของสมาชิกแต่อย่างใด จนเกิดมูลค่าความเสียหายประมาณ 5,000 ล้านบาท พวกจำเลยให้การปฏิเสธ
โดยในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลได้ยกฟ้องจำเลยที่ 60-75 และระหว่างนั้นโจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 2, 4, 17, 30, 33, 37, 38, 59 รวม 8 ราย ส่วนจำเลยที่ 47 เสียชีวิตระหว่างสืบพยาน รวมทั้ง จำเลยที่ 1, 3 นายศรีสุข รุ่งวิสัย , 8, 14 หลบหนีการพิจารณา
ศาลสั่งออกหมายจับปรับนายประกัน พร้อมจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว ดังนั้นในชั้นพิจารณาจึงเหลือจำเลย 81 ราย
โดยวันนี้จำเลยที่ 9, 15 ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดพะเยาและจังหวัดเลย ศาลจะส่งคำพิพากษาอ่านให้จำเลยทั้งสองทราบภายหลัง
ส่วนจำเลยที่เหลือซึ่งได้รับการประกันตัวคนละ 4 - 6 แสนบาทเดินทางมาศาล
ศาลพิเคราะห์ พิเคราะห์ตำเบิกความ และพยานหลักฐานที่ทั้ง 2 ฝ่าย นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า เมื่อช่วงปี 2553 นายก๊ก จำเลยที่ 5 ชักชวนผู้บริหารสหกรณ์ครูหลายแห่งมาสัมมนาแนะนำโครงการบริหารเงินสหกรณ์ เพื่อสร้างสวัสดิการแก่ครูสมาชิก ด้วยการนำเงินสหกรณ์ที่เป็นเงินฝากของครูสมาชิก ซึ่งบริหารโดยประธานสหกรณ์ รองประธาน และกรรมการสหกรณ์ที่ล้วนเป็นจำเลยในคดีนี้เป็นบริหารจัดการเงินแทน โดยแจ้งว่าบริษัทจำเลยที่ 1-2 ได้รับโควต้าจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือลอตเตอรี่จากสำนักงานสลากกินโดยบริษัทจะขายสิทธิ์ให้กับสหกรณ์ เพื่อนำโควต้านี้ไปจัดหาสลากมาขายปลีกแก่สมาชิกในราคาขายลดพิเศษ เพื่อเป็นรายได้แก่สมาชิก โดยให้รับโควตาไปรายละ 200 - 700 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับจำนวนสลาก
ทั้งนี้ ทางบริษัทจำเลยจะรับสลากไป - กลับโดยขายให้แทนเพื่อความสะดวก หรือสหกรณ์จะรับไว้ขายเองก็ได้ แต่ขอคิดค่าบริหารจัดการเป็นรายเล่มละ 100 บาท แบ่งจ่ายเป็นรายงวดๆ ละประมาณ 100 ล้านบาท โดยมีประธาน รองประธาน กรรมการสหกรณ์เป็นผู้ลงนามกับจำเลยที่ 1-2 แล้วพวกจำเลยระดับบริหารผู้บริหารสหกรณ์ก็จะออกเช็คธนาคารพาณิชย์หลายฉบับ ค้ำประกันหนี้ที่รับสลากกลับคืนไปขายให้แทน แต่ต่อมาโจทก์พบว่าพวกจำเลยไม่ได้นำเงินไปซื้อขายลอตเตอรี่จริง เมื่ทวงถามก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา
คดีนี้พยานโจทก์มีผู้แทนสหกรณ์ฯ และพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เบิกความสอดคล้องกันถึงรายละเอียดวิธีการหลอกลวงที่จะให้ตกลงซื้อโควต้า โดยจ่ายเงินเป็นงวดๆ นอกจากนี้ยังรับฟังได้ว่าในการหลอกลวงดังกล่าวพวกจำเลยก็สลับเปลี่ยนจุดรับสลากเพื่อไม่ให้ทราบว่าใครเป็นใคร จนพยานบางคนเริ่มสงสัย จึงตรวจพบว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับโควตาลอตเตอรี่จากรัฐบาลเลย ส่วนบริษัทอื่นมีโควตาสลากแค่ 15 เล่ม แต่ในวันสัมมนา กลับบอกว่ามี 180,000 เล่ม แล้วนำมาหมุนเวียนขายกับผู้แทนสมาชิกไปเรื่อยๆ ขณะที่พยานคนหนึ่งไปรับสลากมาแอบทำตำหนิไว้ในสลาก ก็พบว่ามีสลากหมุนเวียนกันจริงๆ เชื่อว่าถูกหลอกลวงจึงไปขอเงินคืน และแปลกใจที่จำเลยที่ 5 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีส่วนตัวนับร้อยล้านบาท รวมทั้งญาติสนิทของจำเลยด้วย จากนั้นบริษัทจำเลยก็เริ่มไม่ส่งสลากตามงวด หรือไม่มีการส่งเงินคืนสหกรณ์ตามที่ตกลงกัน ทำให้ครูที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เดือดร้อน
ส่วนจำเลยให้การต่อสู้ว่า การดำเนินการแต่ละครั้งเกิดจากมติของกรรมการสหกรณ์เอง เป็นเรื่องเอาเงินสหกรณ์ไปบริหารให้งอกเงยเป็นประโยชน์มากกว่า และเชื่อโดยสุจริตว่าโครงการนี้สามารถทำได้ ผู้เสียหายบางรายก็ได้เงินคืนไปแล้ว แสดงว่าโครงการนี้สร้างผลกำไรจริง ข้อต่อสู้พวกจำเลยฟังไม่ขึ้น
การกระทำของพวกจำเลยเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกันฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 343 วรรคแรก พิพากษาลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน รวม 5 กระทง จำคุกจำเลยที่ 5-7, 9-12 คนละ 5 ปี รวมคนละ 25 ปี
สำหรับจำเลยที่ 16, 18-29, 31-32, 34-36, 39-46, 48-54, 76-90, 95-106 ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จำคุกคนละ 5 ปี และฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นกระทำผิดหน้าที่ของตน คนละ 5 ปี รวมคนละ 10 ปี
ส่วนจำเลยที่ 55 - 58, 91-94, 107-110 ฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินฯ จำคุกคนละ 3 ปี
ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 5 -7, 9 -12 คนละ 15 ปี 20 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 16, 18-29, 31-32, 34-36, 39-46, 48-54, 76-90, 102, 104 -106 คงจำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน
สำหรับจำเลยที่ 55 - 58, 91-94, 107-110 จำคุกคนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 13, 15 ให้ยกฟ้อง ทั้งนี้ จำเลยที่ 95 -101, 103 คงจำคุกไว้ตามเดิมคนละ 10 ปี
ทั้งนี้ ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษานานหลายชั่วโมงตั้งแต่เวลา 10.00 น.จนแล้วเสร็จเมื่อเวลา 15.00 น.เศษ จำเลยทั้ง 79 คน ที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ได้ยื่นหลักทรัพย์มูลค่าคนละตั้งแต่ 400,000 - 800,000 บาท เพื่อขอประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี