เรื่องนี้เป็นสาระสำคัญทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเรียบเรียงโดยผู้คลุกคลีอยู่ในวงการอุตสาหกรรมไทยที่สาธารณชนควรรับรู้ โดยเฉพาะเรื่องของเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่กำลังร้อนจนลุกแดงในขณะนี้
เหล็กแท่ง (Billet) ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ
ประเทศไทยไม่มีการผลิตเหล็กต้นน้ำ ดังนั้น โรงงานที่ผลิตเหล็กแท่งจะใช้เศษเหล็ก (scrap) เป็นวัตถุดิบสำคัญ รวมทั้งมีการใช้สารปรุงแต่งเพื่อให้ได้เหล็กแท่ง (Billet) ที่มีคุณสมบัติทางกล (Mechanical Properties) ตามต้องการ ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า เศษเหล็ก (scrap) ที่ซื้อหาได้ในประเทศเราเป็นเศษเหล็กประเภทร้อยพ่อพันแม่ เพราะต่างชนิด ต่างที่มาแต่ก็พอจะมีข้อดีอยู่บ้างที่มีเศษเหล็กชั้นดีที่มีสารมลทินต่ำ ซึ่งต้องมีการแยกแยะเพราะเศษเหล็กบางประเภทนำมาใช้งานไม่ได้ ใครทำได้ดีกว่าผลผลิตก็จะดีกว่า ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ ก็จะเหมือนกับการหุงข้าว เตาหลอมก็เหมือนกับหม้อข้าวไฟฟ้า ที่ทำให้ข้าวสุก ข้าวสุกจะอร่อยถูกปากหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับประสิทธิภาพของหม้อข้าวแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะขึ้นกับการเลือกพันธุ์ข้าวที่เราชอบ และเทคนิคการหุง พอจะมองเห็นภาพมั้ยครับว่า เตาหลอมเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งแค่นั้นเอง ต่อให้ใช้เตาหลอมที่มีเทคโนโลยีดีที่สุดในโลก แต่ถ้าวัตถุดิบไม่ดีก็ย่อมทำให้คุณภาพของเหล็กแท่งไม่ดีตามไปด้วย
ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจหรือตื่นตระหนกเมื่อพบว่าในมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทั้ง มอก.20-2559 และ มอก.24-2559 ได้ตัดชนิดของเตาหลอมที่ใช้ทำเหล็กแท่ง (billet) ออก เพราะนอกจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการมาตรฐานต่างรู้ดีว่า การกำหนดมาตรฐาน จะต้องหลีกเลี่ยงการชี้บ่งเทคโนโลยีไว้ในตัวมาตรฐาน เนื่องจากเทคโนโลยีมีความอ่อนไหวและพัฒนาได้ในทุกขณะ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งในมาตรฐานระดับระหว่างประเทศหรือระดับต่างประเทศ เช่น ISO หรือ BS หรือ JIS หรือ ASTM ที่วงการอุตสาหกรรมเหล็กให้การยอมรับต่างก็ไม่ได้กำหนดชนิดของเตาหลอมไว้ในมาตรฐานเลย
เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
มาตรฐานไทย กำหนดเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตไว้ 2 ประเภทตามรูปลักษณ์ภายนอกคือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กเส้นกลม มาตรฐานเลขที่ มอก.20-2559 และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กข้ออ้อย มาตรฐานเลขที่ มอก.24-2559 ประเด็นที่น่าสนใจคือ เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตเป็นเหล็กประเภทใดกันแน่
เหตุผลที่หยิบยกเอาประเด็นนี้มาเขียน เป็นเพราะได้อ่านบทความใน social network แล้วรู้สึกอึดอัดใจที่มีผู้นำเสนอในทำนองว่า ผู้ประกอบการรายเล็กใช้เหล็กแท่ง (Billet)คุณภาพต่ำ เพราะได้มาจากเตาหลอมเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้า (Induction Furnace) ทั้งๆ ที่เมื่อนำมาใช้แล้วเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ได้มีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และขยายประเด็นพาดพิงถึงสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ถึงขนาดขอให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีลงมาดูแล ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้สามารถสรุปให้จบลงไปได้ หากเปิดใจยอมรับฟังเหตุผลทางวิชาการที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
ผู้เขียนคงต้องขอขยายประเด็นด้านบน โดยในเบื้องต้นต้องขอทบทวนทำความเข้าใจที่มาที่ไปของเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตก่อนครับ หากเราพิจารณาจากรูปแบบ ประเภท โครงสร้างของเหล็กกล้า และการนำมาใช้งานแล้ว ควรจะสรุปว่า เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตจัดอยู่ในกลุ่มเหล็กกล้าทั่วไป (Base Steel) หรืออาจจะเป็นเหล็กกล้าเจือ( Alloyed Steel) ก็ได้ ซึ่งเหล็กในกลุ่มเหล็กกล้าทั่วไป (Base Steel) นั้นจะหมายถึง เหล็กกล้าธรรมดาที่ผลิตขึ้นโดยวิธีการผลิตตามกระบวนการปกติ ไม่มีเงื่อนไขการควบคุมพิเศษใดๆ เพราะไม่มีวัตถุประสงค์นำไปปรับปรุงคุณสมบัติเพื่อนำไปใช้งานอย่างอื่น เช่น การอบชุบทางความร้อน หรือการขึ้นรูปเย็น หรือการทุบขึ้นรูปเป็นต้น ซึ่งต่างจากพวกเหล็กกล้าที่อยู่ในกลุ่มเหล็กกล้าคุณภาพ (Quality Steel) และกลุ่มเหล็กกล้าพิเศษ (Special Steel) ที่เป็นเหล็กกล้าซึ่งผลิตโดยการควบคุมคุณภาพเข้มงวดกว่า เพื่อให้มีคุณสมบัติการใช้งานเฉพาะอย่าง ในส่วนของเหล็กกล้าเจือ(Alloyed Steel) จะหมายถึง เหล็กกล้าที่มีธาตุเจือตัวใดตัวหนึ่งขึ้นไปที่มีค่าเท่ากับหรือมากกว่าค่าที่กำหนดในเอกสารมาตรฐานระดับระหว่างประเทศ คือ ISO 4948-1 : 1982 Steels - Classification of steels into unalloyed and alloy steels based on chemical composition หรือ มาตรฐานระดับภูมิภาค คือ BS EN 10020 : 2000 Definition and classification of grades of steel (อ้างอิง : รายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาผลกระทบของการกำหนดธาตุเจือในมาตรฐานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตตาม มอก.20-2559 และ มอก.24-2559 ทั้งทางด้านเทคนิคและด้านเศรษฐศาสตร์, ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 7 มีนาคม 2561)
ปัญหาเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
ปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในระยะนี้คือ การปรับปรุงแก้ไข มอก.20-2543 และ มอก.24-2548 มาเป็น มอก.20-2559 และ มอก.24-2559 มีการกำหนดให้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตเป็นเหล็กกล้าไม่เจือ (unalloyed steel) ซึ่งผู้ผลิตต้องควบคุมปริมาณธาตุที่มากต่อความจำเป็นอย่างเข้มงวดถึง 18 ธาตุ (เพราะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทั้ง 2 ฉบับ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มีผลให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ต้องทำ หรือนำเข้า หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามมาตรฐานเท่านั้น) โดยกำหนดปริมาณที่ต้องควบคุมไว้ตามภาคผนวก ก ของ มอก.ดังกล่าว (จากการสืบค้นพบว่า ได้ใช้ข้อมูลตาม ISO 4948-1 และ BS EN 10020) ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ ต้นทุนการผลิตของโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจนี้บางส่วนมีข้อสงสัยว่า “การปรับปรุงมาตรฐานโดยกำหนดให้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ต้องเป็นเหล็กกล้าไม่เจือ (unalloyed steel) จะมีผลดีต่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างไร ในเมื่อคุณสมบัติในการใช้งาน คือ คุณสมบัติทางกล (Mechanicle Properties) ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม “ทำไมต้องกำหนดให้ต้องทำตัวนูนชนิดของเตาหลอมไว้บนเหล็กเส้น เพราะหากเตาหลอมให้ผลผลิตไม่ดีจะทำให้เหล็กไม่เป็นไปตามมาตรฐานอยู่แล้ว” และ “ใครได้ประโยชน์จากการปรับปรุงแก้ไขครั้งนี้?”
เชื่อมั่นหลักฐานทางวิชาการ
ต่อประเด็นข้อสงสัยเหล่านี้ผู้เขียนมั่นใจว่า คณะกรรมการวิชาการคงต้องมีหลักฐานทางวิชาการและเหตุผลที่ชัดเจนที่จะตอบได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าจะมีโอกาสออกมาตอบและชี้แจงข้อสงสัยเมื่อไหร่แค่นั้นเอง และตรงส่วนนี้ต้องขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดไว้สักนิดหนึ่งว่า การกำหนดหรือปรับปรุงแก้ไขหรือยกเลิกมาตรฐานเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการวิชาการ ซึ่งรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง ตามมาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฯ โดยคณะกรรมการวิชาการจะมีอิสระในการดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย เมื่อกำหนดมาตรฐานแล้วเสร็จจะส่งต่อให้ สมอ. นำมาตรฐานนั้นๆ มาบริหารจัดการครับ สรุปง่ายๆ คือ สมอ. ไม่มีหน้าที่กำหนดมาตรฐาน นอกจากการอำนวยความสะดวกในการดำเนินการให้กับคณะกรรมการวิชาการ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความอยากรู้ที่มาที่ไปผู้เขียนจึงพยายามสืบค้นหาหลักฐานทางด้านวิชาการ เพื่อคลายความสงสัยว่า ทำไมถึงได้กำหนดให้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตเป็นเหล็กกล้าไม่เจือ (unalloyed steel) จึงได้หามาตรฐานระดับระหว่างประเทศและระดับประเทศที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมาศึกษาเทียบเคียง ซึ่งได้แก่ ISO 6935-2-2015(E) Steel for the reinforcement of concrete - Part 2 : Ribbed bars, ASTM A615/615M-16 Standard Specification for Deformed and Plain Carbon-Steel Bars for Concrete Reinforcement, ASTM A706/A706M Standard Specification for Deformed and Plain Low-Alloy Steel Bars for Concrete Reinforcement, BS 4449:2005+A2:2009 Steel for the Reinforcement of Concrete - Weldable reinforcing steel - Bar, coil and decoiled product - Specification และ JIS G 3112:2010 Steel bars for concrete reinforcement Specification และได้พบว่า “มาตรฐานระดับระหว่างประเทศและระดับประเทศที่ได้นำมาศึกษา ไม่มีมาตรฐานใดที่กำหนดให้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ต้องเป็นเหล็กกล้าไม่เจือ และไม่มีมาตรฐานใดที่กำหนดให้ต้องควบคุมธาตุเจือถึง 18 ธาตุ รวมทั้งไม่มีข้อกำหนดให้แสดงตัวนูนบ่งบอกชนิดเตาหลอมเหมือนอย่างมาตรฐานไทยเลย”
การปรับปรุงแก้ไขมอก.
จากส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงดังที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดข้างต้น หากมีผู้เสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข มอก.20-2559 และ มอก.24-2559 คงจะไม่ถึงขั้นทำให้อุตสาหกรรมเหล็กประเทศเราตกต่ำลง และถึงแม้ว่า โดยทั่วไปการทบทวนมาตรฐานจะมีกรอบระยะเวลาเมื่อครบ 5 ปี แต่นั่นเป็นเพียงข้อกำหนดทั่วไป เพราะไม่มีข้อกำหนดใดห้ามการทบทวนก่อนกำหนด เมื่อพบปัญหาหรือมีความขัดแย้งทางวิชาการเกิดขึ้น ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สมอ. มีหน้าที่นำมาตรฐานมาบริหารจัดการ โดยหลักการแล้ว การบริหารจัดการต้องเป็นไปตามนโยบายของรัฐ ซึ่งสรุปสั้นๆ ได้ว่า ต้องกระจายผลประโยชน์ให้เกิดแก่ทุกคนโดยเท่าเทียมกันไม่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ
ดังนั้น หาก มอก.เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ยังมีปัญหาหรือมีความขัดแย้งกันด้วยเหตุด้วยผลทางวิชาการที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้แล้ว สมอ. จะดำเนินการบริหารจัดการให้อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตเกิดประโยชน์ตามหลักการดังกล่าวได้อย่างไร ผู้เขียนอยากให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายตระหนักว่า มาตรฐานทั้ง 2 ฉบับนี้ต่างเป็นกติกาที่จะทำให้วงการอุตสาหกรรมเหล็กของเราอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพราะเป็นมาตรฐานแห่งชาติ (National Standard) ต้องสามารถสอบกลับได้ไปยังหลักเกณฑ์ที่นานาชาติให้ความเชื่อถือและยอมรับ อย่าได้พยายามลดระดับลงมาเป็นมาตรฐานระดับบริษัท (Company Standard) เลยครับ หากธุรกิจของท่านมีจุดเด่นมีจุดที่ดีกว่า มีความเข้มงวดมากกว่ามาตรฐานและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ท่านสามารถใช้จุดเด่นและความเข้มงวดนั้นสร้าง Brand ให้เป็นที่ยอมรับได้
ท้ายสุดนี้ ใคร่ขอให้พวกเราช่วยกันทำมาตรฐานนี้ให้เป็นที่ยอมรับก่อนเป็นลำดับแรก แล้ว สมอ.ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่มากด้วยศักยภาพจะทำให้ทุกคนในประเทศนี้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี