ปปท.เตรียมสุ่มตรวจรร.ทั่วอีสาน ดึงสตง.เช็คเงินอุดหนุนเข้ากระเป๋าใคร
ความคืบหน้ากรณีที่เมื่อวันที่ 22 พ.ย.61 เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) เขต3 ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนขามสะแกแสง อ.ขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา หลังจากที่นายรังสิโรจน์ ปาลวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนขามสะแกแสงคนใหม่ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ประมาณ 1 เดือนเศษ รายงานว่าพบชื่อนักเรียนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโรงเรียน หรือ “นักเรียนผี” เกินเข้ามาในบัญชีรายชื่อนักเรียนที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน จำนวน 196 คน ซึ่งอาจเข้าข่ายทุจริตได้นั้น
ล่าสุดวันนี้(23 พ.ย.61) พ.ต.ท.สามารถ ไชยณรงค์ ผอ.ป.ป.ท.เขต3 เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนขามสะแกแสง เนื่องจากทาง ป.ป.ท.เขต3 ได้รับข้อมูลร้องเรียนจากพลเมืองดีว่ามีความผิดปกติของจำนวนนักเรียน โดยจากการตรวจสอบพบว่ามีความคลาดเคลื่อนของตัวเลขจำนวนนักเรียนจำนวนมาก จากตัวเลขที่รายงาน สพฐ.ไปเมื่อช่วงเดือน มิ.ย.61 รายงานไปว่ามีจำนวนนักเรียนอยู่ 1,510 คน แต่เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วกลับพบว่ามีนักเรียนอยู่จริงเพียง 1,319 คนเท่านั้น ซึ่งมีชื่อนักเรียนไร้ตัวตนเกินมาถึง 196 คน
“ป.ป.ท.เขต 3 ต้องรายงานข้อมูลตามความเป็นจริง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อให้ดำเนินการตามข้อกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณอุดหนุน ที่ทาง สพฐ.จ่ายไปให้นักเรียนเป็นรายหัว จะต้องส่งเรื่องให้ สตง.ตรวจสอบว่าก่อนหน้านั้น เงินที่อุดหนุนเป็นรายหัวให้นักเรียนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง จ่ายให้ใครไป ใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้าพบว่ารับเงินไปแล้วนำไปเข้ากระเป๋าใคร ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายย้อนหลังทั้งหมด” พ.ต.ท.สามารถ กล่าว
พ.ต.ท.สามารถ กล่าวอีกว่า ส่วนการที่โรงเรียนออกมาชี้แจงว่าสาเหตุที่ทำให้มีชื่อนักเรียนเกินมานั้น เกิดจากความไม่ชัดเจนของข้อกฎหมาย เนื่องจากมีนักเรียนที่ยังไม่จบระดับการศึกษาภาคบังคับ ที่ติด “0” ติด “ร” อยู่เป็นจำนวนมาก และเกือบทุกคนไม่ยอมมาเข้าเรียน แต่ไม่สามารถถอดชื่อออกจากบัญชีได้ เพราะกลัวจะผิดระเบียบ พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับนั้น ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ สพฐ.ที่จะออกมาชี้แจงว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร แต่ส่วนของการเบิกงบประมาณอุดหนุนไปเกินจำนวนนักเรียนที่มีอยู่จริง เป็นการใช้เงินของรัฐในทางที่ไม่ถูกต้อง ส่วนนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย
“หลังจากนี้ ป.ป.ท.เขต3 จะสุ่มตรวจโรงเรียนต่างๆในพื้นที่ความรับผิดชอบ 8 จังหวัด ประกอบด้วย สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ชัยภูมิ และนครราชสีมา ซึ่งมีโรงเรียนทั้งในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ที่อยู่ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา หรือ สพม.ทั้ง 4 เขต ได้แก่ เขต 28,29,30 และ 31 ซึ่งจะต้องสุ่มตรวจแบบไม่ให้ทันตั้งตัว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ไม่มีการตกแต่งตัวเลขไว้ล่วงหน้า ขณะเดียวกันถ้ามีครู ประชาชน หรือผู้ปกครองนักเรียน รับทราบถึงจำนวนนักเรียนที่เกินจริงลักษณะนี้ ก็สามารถโทรศัพท์แจ้งมาได้สายด่วน ป.ป.ท. เบอร์โทรศัพท์ 1206 หรือแจ้งที่ตนโดยตรงได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 084-4392053 ซึ่งจะเร่งจัดชุดลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที” พ.ต.ท.สามารถ กล่าว
พ.ต.ท.สามารถ กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ในโรงเรียนขามสะแกแสง พบมีจำนวนนักเรียนที่มีแต่ชื่อเกินมาถึง 196 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ เพราะที่ผ่านมาทาง ป.ป.ท.เขต3 ได้ลงพื้นที่สุ่มตรวจโรงเรียนที่ จ.ศรีสะเกษ พบนำเรียนที่มีชื่อเกินมา 50 คน ที่ จ.ยโสธร มีชื่อเกินมา 38 คน ซึ่งจำนวนนักเรียนที่เกินมาจำนวนมากนั้น ต้องมีการเบิกเงินอุดหนุนการเรียนจากงบประมาณแผ่นดินด้วย ซึ่งทาง ป.ป.ท.ก็จะต้องมาคิดคำนวณว่าที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนซื้อชุดนักเรียน และหนังสือเรียนไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
ด้านนายรังสิโรจน์ กล่าวว่า ตามที่ทาง สพฐ.ได้ให้โรงเรียนในสังกัดทุกแห่ง รายงานจำนวนนักเรียนที่มีอยู่จริงเข้าไป ซึ่งตนเองก็ได้รายงานจำนวนนักเรียนในโรงเรียนขามสะแสงไปว่ามีจำนวนที่มีอยู่จริงทั้งหมด 1,319 คน ซึ่งไม่ตรงกับจำนวนที่รายงานไปเมื่อช่วงเดือน มิ.ย.61 ต่อมาตนได้ไปสอบถามครูประจำชั้นเรียนได้รับข้อมูลว่าที่มีจำนวนนักเรียนเกินมานั้น เนื่องจากมีชื่อนักเรียนที่ยังไม่แก้ “0” แก้ “ร” อยู่หลายราย ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มาเข้าเรียนแล้ว และยังไม่มาลาออก ส่งผลให้มีชื่อค้างอยู่ ขณะเดียวกันทางโรงเรียนก็ไม่กล้าที่จะย้ายชื่อออกจากบัญชีได้ เพราะนักเรียนหลายคนยังไม่จบการศึกษาในภาคบังคับ คือ ม.3 อีกทั้ง สพฐ.ก็ไม่มีคำสั่งให้ดำเนินการใดๆ กับนักเรียนกลุ่มนี้ จึงทำให้มีปัญหาดังกล่าว
เบื้องต้นเมื่อวันที่ 15 พ.ย.61 ทาง สพฐ.ก็ได้ประชุมกับโรงเรียนในสังกัดทุกแห่ง เพื่อหาทางออกให้ โดยเบื้องต้นได้ทางโรงเรียนติดตามหาสาเหตุที่นักเรียนไม่มาเรียนตามปกติเหมือนคนอื่น และทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 31 ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจำนวนนักเรียนที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อรายงานให้ สพฐ.ทราบภายในวันที่ 30 พ.ย.นี้
ส่วนนายสันติ ธูปกลาง รองผู้อำนวยการโรงเรียนขามสะแกแสง กล่าวว่า เนื่องจากตาม พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับนั้น ถ้ามีรายชื่อนักเรียนอยู่และยังเรียนไม่จบ ทางโรงเรียนไม่สามารถนำชื่อออกได้ หรือถ้านักเรียนจะย้ายออก ทางโรงเรียนก็ต้องทราบโรงเรียนปลายทางเสียก่อน เพื่อให้ทางโรงเรียนปลายทางรับเด็กนักเรียนเข้าเรียนก่อนจึงจะสามารถย้ายชื่อออกจากโรงเรียนเก่าได้ สำหรับนักเรียนที่เรียนไม่จบพร้อมเพื่อน เนื่องจากติด 0 ติด ร อยู่ ทางโรงเรียนก็ต้องคาชื่อไว้ในทะเบียนนักเรียนไว้ก่อน เพื่อให้นักเรียนมาใช้สิทธิ์แก้ 0 แก้ ร ให้จบตามหลักเกณฑ์ จึงทำให้มีปัญหามีแต่ชื่อนักเรียนแต่ไม่มีตัวนักเรียนอยู่ ซึ่งทางโรงเรียนก็หาหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่ชัดเจนไม่ได้
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ทาง สพฐ.ได้มีการประชุมและมีแนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้น ด้วยการให้โรงเรียนคัดแยกชื่อนักเรียนออกเป็น 2 ส่วน คือ นักเรียนที่มีตัวตนเรียนอยู่จริงกับนักเรียนที่มีแต่ชื่อ เพื่อที่จะรับเงินอุดหนุนเฉพาะนักเรียนที่มีอยู่จริงเท่านั้น ส่วนนักเรียนที่มีแต่ชื่อจะไม่รับเงินอุดหนุนมา ส่วนจะมีผลทำให้ลดฐานะโรงเรียนจากการเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นโรงเรียนขนาดกลางหรือไม่นั้น เรื่องนี้ไม่มีผลกับการจัดสรรงบประมาณอุดหนุน เพราะเงินอุดหนุนจะจ่ายตามรายหัวนักเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะการจ่ายเงินอุดหนุนชุดเครื่องแบบนักเรียน สำหรับชั้นมัธยมปลาย จ่ายให้คนละ 500 บาท ชั้นมัธยมต้น จ่ายให้คนละ 450 บาท ซึ่งจะมีใบเสร็จแจ้งให้ทราบทุกราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี