1 ธ.ค.61 ที่สำนักงานปศุสัตว์ จ.พัทลุง ได้มีการประชุมเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์กว่า 50 คน เพื่อทำความเข้าใจในการให้ความรู้เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ จ.พัทลุง พร้อมลงพื้นที่ติดตามและเร่งควบคุมโรคและการระบาดของโรคปากและเท้าเปื่อยในพื้นที่ จ.พัทลุงต่อไป หลังจากที่ทางจังหวัดได้มีประกาศให้พื้นที่ จ.พัทลุงเป็นเขตเฝ้าระวังโรคระบาดปากและเท้าเปื่อยในสัตว์พวกโค กระบือ แพะ แกะ
เมื่อวันที่ 30พ.ย.61 ที่ผ่านมา จ.พัทลุง มีเกษตรกรที่เลี้ยงโค กระบือ กว่า 2 หมื่นราย มีโค กระบือทั้งหมดกว่า 1 แสนตัว และขณะนี้พบโค กระบือเป็นโรคปากและเท้าเปื่อยแล้วเกือบ 500ตัว มากสุดในพื้นที่ อ.เมือง พบเป็นโรคแล้ว 329 ตัว รองลงมาคือ อ.เขาชัยสน อ.ควนขนุน แต่สามารถควบคุมโรคได้แล้วบางส่วน
นายสุพจน์ พูลเพิ่ม อายุ 51 ปี เกษตรกรที่ลี้ยงวัวในพื้นที่ ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง กล่าวว่า ตนได้เลี้ยงวัวไว้ทั้งหมด 4 ตัว และก่อนหน้านี้มีลูกวัวตายไปแล้ว 1 ตัว คาดว่าน่าจะป่วยเป็นโรคปากและเท้าเปื่อย เพราะสังเกตอาการลูกวัวที่ตายไปมีอาการคอตก น้ำลายย้อยและซึมจนกระทั่งลูกวัวตัวนั้นตายไป จนตัวเองนั้นวิตกกังวล จึงมีการรักษาวัวเบื้องต้นที่รอดชีวิตอยู่โดยการทายาเยนเซี่ยนไวโอเลต หรือยาสีม่วง ตามจมูกและกีบของวัว ซึ่งเกษตรกรเชื่อว่ายาสีม่วงนี้เป็นยาป้องกันโรคปากเท้าเปื่อย ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอเข้ามาสอบสวนโรค และพ่นยาฆ่าเชื้อตามลำดับต่อไป
ทางด้าน นายณรงค์ สุทธิสังข์ ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง กล่าวว่า เนื่องจากพบการระบาดของโรคในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเกษตรกร จึงเร่งกำชับเจ้าหน้าที่ สัตวแพทย์ของสำนักงานปศุสัตว์ได้เข้าควบคุมโรคตามขั้นตอนโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงใน 3ตำบล ได้แก่ ต.ลำปำ ต.ควนมะพร้าว และ ต.ชัยบุรี ของ อ.เมืองพัทลุง ซึ่งสามารถควบคุมสถานการณ์ของโรคได้บางส่วน แต่ก็ยังเร่งลงพื้นที่ทำความเข้าใจแก่กลุ่มเกษตรกร พร้อมพ่นยาฆ่าเชื้อตามคอกเลี้ยงและบริเวณโดยอีกด้วย และสั่งห้ามให้มีการเคลื่อนย้ายสัตว์ หากฝ่าฝืนจะมีโทษจับ ปรับ ตามกฎหมายต่อไป
และอย่างในกลุ่มเสี่ยงอย่างเช่น ผู้ที่เลี้ยงวัวชน ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ พร้อมพ่นยาฆ่าเชื้อตามบ่อนวัวชนแล้วด้วย และทางปศุสัตว์ เองยังกล่าวย้ำอีกว่า ขอให้เกษตรกรผู้เลี้ยง หรือประชาชนทั่วไปอย่าตื่นตกใจ เพราะโรคปากและเท้าเปื่อยที่พบในสัตว์ เป็นไวรัสคนละตัวกันที่พบในคน และไม่สามารถนำพาโรคจากสัตว์สู่คนได้อย่างแน่นอน และไม่มีการแพร่ระบาดในสัตว์ปีกได้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตามคน หรือเกษตรที่เลี้ยงโค กระบือ ก็ถือได้ว่าเป็นพาหะในการนำโรคที่สำคัญที่สุด หากใครที่จำเป็นต้องสัมผัสกับโค กระบือ หรือผ่านไปในที่เลี้ยงสัตว์เหล่านี้แล้ว ควรทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อยก่อนที่จะมีการสัมผัสกับสิ่งของอย่างอื่น เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคได้บางส่วนนั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี