หลังจากราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2561ที่ผ่านมา รัฐบาลทุกๆรัฐบาลจะต้องขับเคลื่อนนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้คือ
“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นอีกหน่วยงานที่ได้ขับเคลื่อนนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และยังได้กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติอีกด้วย โดยตั้งเป้าหมายที่จะให้ “ประเทศไทยจะเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคทั้งด้านผลิต บริโภค การค้า และบริการ : เกษตรอินทรีย์ของไทยต้องมีความยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล”
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในเวที “สู่ฝันของพ่อ...สานต่อเกษตรทฤษฎีใหม่” ณ วัดมงคลชัยพัฒนา สระบุรี เมื่อเร็วๆนี้ ว่า หากเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานไว้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นที่พึ่งของคนได้ทุกระดับ หรือแม้แต่คนที่ยังไม่ตกงาน แต่เบื่อวิถีชีวิตเมือง เบื่อวิถีแห่งการแข่งขัน หลักเศรษฐกิจพอเพียงก็จะเป็นที่พึ่งได้เช่นกัน หวังว่าสิ่งที่ทรงทำเอาไว้จะไม่สูญหายไป งานที่ทรงทำไว้จะเป็นที่พึ่งของคนในยุค disruption
ปัจจุบันสังคมกำลังเข้าสู่ยุค Disruption ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้านอย่างรวดเร็วและรุนแรง สิ่งที่มีอยู่บางอย่างในสังคมสูญหายไป เกิดสิ่งใหม่เข้ามาแทน เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ถูกแทนที่ด้วยสื่อดิจิทัล เทคโนโลยีถูกใช้ทำงานแทนแรงงานคน เกิดปัญหาคนตกงานเป็นจำนวนมากทั่วโลก ซึ่งเมืองไทยก็เช่นกัน
“ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างตั้งแต่เมื่อปี 2536 และมีเกษตรกรไทยจำนวนมากได้นำตัวอย่างของพระองค์ไปใช้และประสบผลสำเร็จ สามารถปลดหนี้สิน ครอบครัวมีความสุขบนพื้นฐานของความพอเพียง กระทรวงเกษตรฯ จึงมีเป้าหมายขยายผลหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ครอบคลุมทั้งประเทศปีละ 70,000 ราย ใน 882 อำเภอ เฉลี่ยเกษตรกรอำเภอละ 80 ราย เพื่อเป็นต้นแบบของการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยให้หน่วยงานราชการทุกหน่วยงานมาร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นหนึ่งโครงการสำคัญของแผนขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทย” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทานในฐานะที่ได้ทำภารกิจใกล้ชิดกับในหลวงรัชกาลที่ 9 มาอย่างต่อเนื่องตลอดมา ได้น้อมนำศาสตร์พระราชาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ตอนนี้รู้จักกันดีในชื่อเกษตรทฤษฎีใหม่ หรือ โคก หนอง นาโมเดล มาใช้ทั้งพื้นที่ในและนอกเขตชลประทาน
วิธีการหนึ่งของหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ คือ การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ของตนเอง การสร้างแหล่งเก็บน้ำในพื้นที่ตนเอง ประชาชนพึ่งพาตนเองได้เรื่องน้ำ เปลี่ยนการทำเกษตรแบบเดิมมาเป็นเกษตรอินทรีย์โดยธรรมชาติ เน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ และที่สำคัญสุด คือ พึ่งพาตนเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหนทางเพิ่มรายได้ ลดหนี้สินให้เกษตรกร
นอกจากนี้ยังส่งผลบวกในระยะยาวที่จะตามมามีมากมาย โดยเฉพาะขีดความสามารถในการพัฒนา พึ่งพาและจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ฐานทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดิน ทรัพยากรป่าไม้ได้รับการดูแลอย่างยั่งยืน ลดอัตราการว่างงาน แรงงานคืนถิ่น เกิดการกระจายรายได้ เศรษฐกิจพัฒนา และเป้าหมายสูงสุดคือ คนไทย สังคมไทยอยู่ดีมีสุข
“กรมชลประทานได้วางแผนการทำงานให้บรรลุตามเป้าหมาย ในเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ได้ 20 ล้านไร่ภายใน 20 ปี เพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ 33.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และเกษตรกรจะมีความยั่งยืนในอาชีพตน 2.42 ล้านครัวเรือน” อธิบดีกรมชลประทานกล่าวย้ำ
นายณัฐวุฒิ สร้อยประเสริฐ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานสระแก้ว เจ้าหน้าที่กรมชลประทานผู้นำเอาเกษตรทฤษฎีใหม่ไปใช้ เล่าว่า เกษตรกรบริเวณลุ่มน้ำคลองกัดตะนาวใหญ่ตอนล่าง อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว เป็นกลุ่มเกษตรกรที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่กรมชลประทานในการนำแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ไปปรับใช้และเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
“โจทย์คือเราเป็นข้าราชการ มีความรู้ด้านวิศวกรรม จะนำความรู้กลับมารับใช้สังคมได้อย่างไร”
เมื่อลงพื้นที่จนชาวบ้านเริ่มเข้าใจหลักการ เข้าใจเรื่องการชลประทาน ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม เข้าใจปัญหาและแก้ไขปัญหาเอง เช่น เมื่อพื้นที่ของตนไม่ได้อยู่ใกล้คลอง หรือฝาย หรือแหล่งน้ำใด ๆ หากรอทางราชการมาทำระบบชลประทานให้ก็ใช้เวลานาน หรือบางครั้งแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เขาจึงคิดแก้ไขปัญหาเองด้วยการขุดบ่อ/คลองไส้ไก่ เพื่อดักน้ำฝนไว้ใช้ในพื้นที่ตน หรือปรับพฤติกรรมจากปลูกพืชชนิดเดียว รอการเก็บเกี่ยวแค่ครั้งเดียว เปลี่ยนมาทำกิจกรรมทางการเกษตรที่หลากหลายมากขึ้นในที่ผืนเดียวกัน ทำให้มีรายได้เข้ามาจากหลายทางตลอดทั้งปี หรือ ทำการออกแบบระบบชลประทานเอง ก็จะได้การบริหารจัดการน้ำที่ตรงใจ แก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้น้ำได้ตรงจุด เป็นต้น
นอกจากนี้หลายครั้งที่ชาวบ้านพบว่า ปัญหาเกิดจากตัวเขาเองที่ไปตัดไม้ บุกรุกที่ทำกิน ทำให้ดินลงคลอง ทางน้ำตื้นเขิน ก็จะกลับมาแก้ไขเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่ได้ร้องเรียนมาทางกรมชลประทาน
“การนำแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้ได้ผลที่เป็นรูปธรรมเห็นชัดคือ เปลี่ยนชาวบ้านจากที่ไม่เคยช่วยเหลือตัวเองเลย คอยแต่พึ่งพาราชการ ปรับเปลี่ยนวิธีคิด ช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เราที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานสบายขึ้น มีความสุขมากขึ้น เหนื่อยน้อยลง ส่วนทางชาวบ้านเกิดความรัก ความสามัคคีของคนในชุมชน เวลาที่ช่วยกันทำงาน หันกลับมาเห็นตัวตนกันมากขึ้น จากแต่ที่เดิมต่างคนต่างทำมาหากินเพื่อหาเงินมาผ่อนสิ่งของ ยิ่งไปกว่านี้คือ การมีความรู้ด้านการชลประทานที่จะทำให้ประชาชนมีความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหา”
ด้านบุญล้อม เต้าแก้ว เกษตรกรอายุ 68 ปี จากจังหวัดสระบุรี มีที่ดิน 20 ไร่ ทำนาข้าวทั้งหมดมาตั้งแต่สมัยปู่ย่า เล่าว่า เมื่อปี 2536 เป็นครั้งแรกที่ได้ไปเห็นแปลงเกษตรที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำ แบ่งเป็นที่นา ที่ไร่ บ่อน้ำ และที่อยู่อาศัย อยากจะทำแบบเดียวกับพระองค์ท่าน แต่ก็ทำไม่ได้ทันทีเพราะไม่มีเงินจ้างคนขุดบ่อน้ำ และตัวเองยังเป็นหนี้สินอยู่หลายแสนบาท
“แต่เราไม่ท้อ ค่อยๆ ทำไปทีละนิด เพราะรู้สึกว่าวิธีนี้แหละจะเป็นทางรอด ตอนนั้นแปลงของเรามีบ่อน้ำเล็กกว่าของที่พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่างไว้มาก แต่ไม่เป็นไรเพราะเราสามารถผลิตอาหารได้ทุกอย่าง และได้ส่วนราชการเข้ามาช่วยเหลือเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้ไปลงทุนปลูกพืชสวน ทำโรงเพาะเห็ด ขุดบ่อปลา ฯลฯ เริ่มต้นปีแรกมีแต่คนว่า ไม่ได้ผล ทำเกษตรแบบนี้ไม่มีทางรวย และไม่มีเงินพอใช้หนี้ แต่เรายึด 3 คำในใจมาตลอด คือ มุ่งมั่น ขยัน อดทน ช่วง 2-3 ปีแรกเรามีกิน มีใช้ มีอยู่ พอปี 2539-2540 เริ่มเห็นชัด ต้นไม้เริ่มใหญ่ พอปีที่ 4 ปีที่ 5 เริ่มใช้หนี้ ส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรี 3 คน จากที่เมื่อก่อนเราซื้อทุกอย่าง กลับมาเป็นได้ขายของทุกอย่าง ทุกวัน มีเงินเข้าทุกวัน” คุณพ่อบุญล้อมกล่าว
ปัจจุบันพ่อบุญล้อมแบ่งพื้นที่ทำสวน 12 ไร่ ทำนา 4 ไร่ ขุดบ่อน้ำ 2 ไร่ และเป็นที่อยู่อาศัย 2 ไร่ ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบัน มีน้ำใช้มาตลอด มีข้าวกิน มีพืชผักสวนครัวกิน
“มีน้ำไม่มีหนี้ มีที่ไม่ต้องกลัวจน” เป็นประโยคที่พ่อบุญล้อมพูดบ่อยที่สุดตลอดการสนทนา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี