แพทย์โรคไตเผยคนไทยกินเค็มสูงถึง 2 เท่า ป่วยโรคไตพุ่ง 7.6 ล้านคน ความดัน 13 ล้านคน ชี้รัฐแบกภาระรายจ่ายสุขภาพปีละ1แสนล้าน พบคนจนป่วยสูงสุดร้อยละ70 ด้าน ปธ.ชมรมเพื่อนโรคไตหนุนจัดเก็บภาษีสินค้าที่มีโซเดียมสูง
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ อาจารย์สาขาวิชาโรคไต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า การที่กรมสรรพสามิต จะมีมาตรการจัดเก็บภาษีในอุตสาหกรรมอาหารที่มีโซเดียมสูง ถือเป็นมาตรการที่เหมาะสม ทุกวันนี้ คนไทยกินเค็มสูงถึง 2 เท่า ทำให้เกิด โรคไม่ติดต่อเรื่องรัง หรือ NCDs ได้แก่ ความดันโลหิตสูง 13 ล้านคน โรคไต 7.6 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมอง 5 แสนคน และโรคหัวใจขาดเลือด 750,000 คน เฉพาะค่าใช้จ่ายในการล้างไตสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ค่าฟอกเลือด 2 แสนบาท ต่อ คน ต่อปี และ มีจำนวนคนไข้ที่ฟอกเลือดเพิ่มขึ้นปีละ 2,000 คน ต่อปี ยังไม่นับรวมค่ายารักษา ส่งผลให้รายจ่ายทางสุขภาพของรัฐสูงถึงปีละ50,000-100,000 ล้านบาทต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 15
“มาตรการนี้ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ เพราะโรคNCDs เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้ดำเนินมาตรการลดการบริโภคเค็ม โดยพบว่าหากลดให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ30 จะสามารถช่วยป้องกันชีวิตคนไม่ให้เสียชีวิตถึงร้อยละ10และสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 50,000-100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี” ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว
สำหรับการดำเนินมาตรการลดการบริโภคเค็มในสังคมไทย ที่ผ่านมาได้มีการทำงานร่วมกับ องค์การอาหารและยา(อ.ย.)เพื่อขอความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรม เป็นเวลาหลายปีโดยขอความร่วมมือให้ปรับสูตรลดโซเดียมลง 30% ภายใน 5ปี ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกแต่ไม่สามารถทำได้ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีความเค็มสูง คืออาหารสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มขนมขบเคี้ยวที่กระทบต่อสุขภาพของเด็ก
“การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอาหารอุตสาหกรรมที่มีโซเดียมสูงจะช่วยให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าที่มีโซเดียมลดลงมากขึ้น เพราะจากประสบการณ์ต่างประเทศพบว่า ประชาชนเลือกซื้อสินค้าด้วยเหตุผลเรื่องราคาผลิตภัณฑ์ถึงร้อยละ 80 มากกว่าคำถึงถึงสุขภาพเพียงร้อยละ 20เช่นในมาตรการภาษีโซเดียมของประเทศฮังการีที่ได้ผลมากกว่าการให้ความรู้เพียงอย่างเดียว มาตรการภาษีโซเดียม เป็นสิ่งที่รัฐต้องจัดการเพื่อสุขภาพของประชาชน”ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว
ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวอีกว่า หากมีข้อกังวลว่าจะกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย จะเดือดร้อน จากข้อมูลพบว่า70%ของผู้ป่วยโรคNCDsมาจากผู้ที่มีฐานะยากจน เพราะมีทางเลือกน้อย ส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำ จึงไม่มีเวลาศึกษาข้อมูล จึงควรปกป้องกลุ่มคนเหล่านี้โดยทำให้อาหารดีต่อสุขภาพราคาถูกกว่าสินค้าที่ทำลายสุขภาพ สินค้าที่ลดโซเดียมในหมวดเดียวกันที่ไม่เสียภาษีก็ไม่ควรอาศัยจังหวะนี้ขึ้นราคา และมาตรการที่ควรทำควบคู่กันคือการสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภค โดยมีสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ เพื่อเป็นทางเลือกกับผู้บริโภค
ด้าน นายธนพล ดอกแก้ว ประธานชมรมเพื่อนโรคไต กล่าวว่าขอสนับสนุนมาตรการจัดเก็บภาษีโซเดียมในอุตสาหกรรมอาหารที่มีโซเดียมสูงของรัฐบาล เพราะเป็นนโยบายที่ดีในการดูแลสุขภาพของประชาชน เพราะตนเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการกินเค็ม ชอบกินขนมขบเคี้ยวและกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตั้งแต่เป็นนักศึกษาทำให้เป็นความดันโลหิตสูง ตั้งแต่อายุไม่ถึง 25ปีและเป็นไตวายระยะสุดท้ายเมื่ออายุ 30ปี ในสมัยนั้น หลักประกันสุขภาพ ยังไม่ครอบคลุมค่าฟอกไต ฟอกเลือด ทำให้มีค่าใช้จ่ายครั้งละ 6,000บาท เฉลี่ยเดือนละ72,000บาท
“หากรัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลถึง4โรค ทั้งเบาหวาน หัวใจ ความดัน ไต ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่รัฐแบกไว้จะสูงถึงปีละหลายหมื่นล้านบาท หากปล่อยให้คนไทยบริโภคเค็มต่อไปจะเป็นภาระทางสุขภาพของประชาชนและต่อประเทศ” ประธานชมรมเพื่อนโรคไต ย้ำทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี