รมว.เกษตรฯสั่งกฟก.เร่งแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกฟก. ด้านแกนนำกลุ่มเกษตรกรที่อยู่นอกหลักเกณฑ์การจัดการหนี้ขู่จะนำเกษตรกรลูกหนี้5,000คนชุมนุมหน้าก.เกษตรฯ ลั่นไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือ
12 ธ.ค.61 นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาการประธานคณะกรรมการบกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) เฉพาะกิจสั่งการให้ กฟก.จัดประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิก กฟก.ในการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพ หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่สมาชิก กฟก.ซึ่งเป็นลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงขึ้นเพื่อดำรงชีพและมีเงินไปชำระหนี้ที่กู้ยืมมา
ทั้งนี้ นายกฤษฎา มอบหมายให้ นายณรงค์ อ่อนสอาด ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ ประธานคณะอนุกรรมการประสานเจรจาหนี้สินสถาบันการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกรสมาชิก กฟก.เชิญผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , ธ.ก.ส. , ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) , ธนาคารออมสิน และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของสมาชิก กฟก.โดยหนี้นั้นอยู่นอกคุณสมบัติที่จะได้รับการจัดการหนี้จาก กฟก.คือ เป็นหนี้นอกภาคการเกษตร วงเงินกู้เกิน 2.5 ล้านบาท หรือเป็นหนี้ที่ใช้บุคคลค้ำประกัน ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ เพื่อจะหาแนวทางว่าสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรได้อย่างไรบ้าง
ด้าน นายยศวัจน์ ชัยวัฒนศิริกุล ที่ปรึกษาสหพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย (สกท.) ได้ทำหนังสือเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทวงเกษตรฯ ผ่านที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานให้เร่งจัดประชุมเพื่อพิจารณาประกาศคณะกรรมการ กฟก.เฉพาะกิจ โดยให้ทบทวนหลักเกณฑ์การจัดการหนี้และการจำแนกแยกประเภทหนี้ของเกษตรกร พ.ศ.2561 เร่งดำเนินการตามระเบียบการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกร โดยเสนอให้ตั้งงบประมาณ 100,000 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี แบ่งจ่ายปีละ 20,000 ล้านบาท เพื่อนำมาฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น เสนอให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ กฟก.จังหวัด เพื่อให้สามารถดูแลสมาชิก กฟก.ได้อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญคือ เร่งจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการ กฟก.ชุดใหม่ เนื่องจากอายุการทำงานของ รมว.เกษตรฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการ กฟก.เฉพาะกิจหมดลงแล้ว ขณะนี้ทำหน้าที่เพียงรักษาการ โดยมั่นใจว่า หากมีคณะกรรมการชุดใหม่จะสามารถกำหนดแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินของสมาชิก กฟก.ได้อย่างเต็มที่
นายยศวัจน์ กล่าวว่า แนวทางคณะกรรมการบริหาร กฟก.ชุดเฉพาะกิจที่มีนายกฤษฎา เป็นประธาน ซึ่งเสนอเป็นคนกลางให้เกษตรกรเข้าสู่กระบวนการเจรจาหนี้สินกับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้นั้น กลุ่มเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ แม้นายกฤษฎาได้ชี้แจงแล้วว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโดยการซื้อหนี้ได้ เนื่องจากจะไม่เป็นไปตามระเบียบการบริหารการเงินการคลังที่ดูแลโดย ธปท.อีกทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้ามาตรวจสอบการดำเนินงานของ กฟก.แล้วระบุว่า กฟก.ไม่สมควรจัดการหนี้นอกเหนือหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ว่า ต้องเป็นหนี้ที่เกิดจากการทำการเกษตร มูลหนี้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท และเป็นหนี้ที่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ทั้งนี้ กลุ่มเครือข่ายหนี้สินเห็นว่า ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายการตั้ง กฟก.ขึ้นมาคือ การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรทั้งหมด จึงเห็นว่า กฟก.สามารถใช้แนวทางการซื้อหนี้เกษตรกรจากสถาบันการเงินเข้ามาบริหารจัดการได้เอง ตามมติ ครม.ปี 2553 ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นได้ให้ กฟก.ซื้อหนี้จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ร้อยละ 50 แล้วให้เกษตรกรผ่อนชำระกับ กฟก.ซึ่งมีระยะเวลาผ่อนชำระที่นานกว่าและดอกเบี้ยถูกกว่า ดังนั้น หากไม่เร่งจัดประชุมภายในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จะนำเกษตรกรกลุ่ม สกท.จำนวน 5,000 คน มาชุมนุมที่หน้ากระทรวงเกษตรฯ ในวันที่ 21 ธ.ค.อย่างแน่นอน
มีรายงานว่า ผลจากการเจรจานั้น ธนาคารเจ้าหนี้ยินดีขายหนี้ให้ กฟก.ร้อยละ 50 ของเงินต้นรวม 2,400 ล้านบาท ในเงื่อนไขที่รัฐจัดสรรงบประมาณมาชดเชยให้ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 เป็นงบประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นว่า จะเสียระเบียบวินัยการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้น คณะกรรมการ กฟก.เฉพาะกิจ จึงเห็นสมควรให้ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการเจรจาหนี้กับเจ้าหนี้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นรายๆ ไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี