วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการที่กองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ (กองทุน FTA) ได้อนุมัติงบประมาณให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อไปแล้ว 7 โครงการ 176 ล้านบาท เพื่อรองรับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า โดยเฉพาะกรอบการค้าไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งในปี 2563 จะสิ้นสุดมาตรการปกป้องพิเศษ (SSG) ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเนื้อโคจากออสเตรเลียไม่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ส่งผลให้ราคาเนื้อโคนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาถูกลง
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคเนื้อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เป็นอีกหนึ่งโครงการ ที่กองทุน FTA อนุมัติงบประมาณกว่า 25 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559- 2565 แก่สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนในเขตปฏิรูปที่ดินปางศิลาทอง จำกัด จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อให้สมาชิกมีอาชีพ มีรายได้ เกษตรกรมีความรู้ทักษะในการเลี้ยงโคแม่พันธุ์ และโคขุนอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดทำแปลงหญ้า ปลูกพืชอาหารสัตว์ คิดสูตรอาหารและนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเป็นอาหารโคเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการของสหกรณ์
การดำเนินกิจกรรม ประกอบด้วย จัดอบรมเพิ่มทักษะความรู้ความสามารถในการเลี้ยงโคเนื้อให้มีประสิทธิภาพให้เกษตรกรสมาชิก โดยมีกรมปศุสัตว์เป็นพี่เลี้ยงในการติดตามให้คำปรึกษาการเลี้ยงโค เป็นระยะเวลา 4 ปีสนับสนุนปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อเป็นพืชอาหารสำหรับเลี้ยงโคในพื้นที่ รายละ 1 ไร่ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต และภายหลังฝึกอบรม กองทุน FTA ให้การสนับสนุนเงินยืมปลอดดอกเบี้ยเพื่อจัดหาโคแม่พันธุ์และโคเพศผู้ให้เกษตรกรที่ผ่านการฝึกอบรม โดยจัดหาโคสาวรายละ 5 ตัวจำนวน 50 ราย รวม 250 ตัว เพื่อเร่งผลิตโคแม่พันธุ์ ที่ลดจำนวนลง และจัดหาโคเพศผู้ น้ำหนักตัวประมาณ 200-250 กิโลกรัม เพื่อเลี้ยงเป็นโคขุนรายละ 8 ตัวจำนวน 50 ราย รวม 400 ตัว นอกจากนี้ ได้พัฒนาประสิทธิภาพคุณภาพการผลิตโคเนื้อมีชีวิต ให้มีมาตรฐานแข่งขันกับตลาดโลกได้ โดยมีศูนย์การเรียนรู้การเลี้ยงโคขุนให้แก่สมาชิกและผู้เลี้ยงโค 1 ศูนย์
จากการติดตามผลดำเนินงานตั้งแต่ปี 2559-2561 สศก.พบว่า เกษตรกรที่ฝึกอบรมหลักสูตร “การเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพ” 100 ราย ส่วนใหญ่ร้อยละ 96 นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้เลี้ยงโคได้ตามมาตรฐานที่กำหนด และมีสมาชิกที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการสนใจเข้าร่วมและหันมาสนใจอาชีพเลี้ยงโคเพิ่มขึ้น
ด้านกิจกรรมการเลี้ยงโคเนื้อ พบว่า การเลี้ยงโคเนื้อแม่พันธุ์ สหกรณ์จัดหาโคแม่พันธุ์ให้สมาชิกครบ 250 ตัว เพื่อผลิตโคขุนต้นน้ำ แก้ปัญหาการขาดแคลนโค ปัจจุบันมีลูกโคที่เกิดใหม่เพิ่มรายละ 4-5 ตัวและสหกรณ์จัดหาโคเพศผู้เพื่อเลี้ยงเป็นโคขุน ให้สมาชิก 400 ตัว ซึ่งภายหลังการขุนเป็นเวลา 6 เดือนพบว่า เกษตรกรสมาชิก มีกำไรจากการจำหน่ายโคขุนให้สหกรณ์ประมาณ 5,600 บาท/ตัว สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการที่มีกำไรไม่เกิน 4,000 บาท/ตัว ทั้งนี้ สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะจำหน่ายโคให้สหกรณ์ในราคาประกันที่กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งราคาตลาดทั่วไปรับซื้อโคขุนที่กิโลกรัมละ 85 บาท
นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีรายได้จากการรวบรวมมูลโคในฟาร์มและจำหน่ายมูลโครายละประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อเดือน นับว่าโครงการดังกล่าวเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพการผลิตสินค้าโคเนื้อให้แข่งขันกับโคเนื้อที่นำเข้าจากต่างประเทศได้
สำหรับกลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าโคเนื้อ รวมทั้งผู้ที่จะเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯในสินค้าเกษตรอื่นๆ สามารถจัดทำเป็นโครงการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมจากการเปิดเสรีทางการค้า (Free Trade Area : FTA) ซึ่งโครงการที่เสนอต้องเป็นโครงการช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้เกษตรกร เป็นไปได้ทั้งการผลิตการตลาดโดยใช้ตลาดนำการผลิตและคุ้มค่าในการลงทุน โดยเสนอโครงการผ่านหน่วยงานราชการระดับกรม เพื่อส่งต่อให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริหารกองทุนภาคเกษตร เบอร์โทรศัพท์ 0-2561-4727 หรือโทรสาร 0-2561-4726 และที่ www2.oae.go.th/FTA หรือทาง E-mail : fta@oae.go.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี