ย้อนไปเมื่อราว 50 ปีที่แล้ว สมัยที่เขื่อนเจ้าพระยาเริ่มทำหน้าที่ แนวคิดเมื่อสามารถกักเก็บน้ำได้ จะทำอย่างไรให้ใช้น้ำที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงเกิดการรวมตัวกันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แทบทุกหน่วยงานในพื้นที่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ส่งเสริมให้ขยายการทำนาปรัง และการปลูกพืชฤดูแล้ง เกิดการจัดระบบการปลูกพืชให้กับเกษตรกรในพื้นที่ชลประทานลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง มีการปลูกถั่วลิสงหลังนาในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี แถวอำเภออินทร์บุรี พื้นที่บริเวณโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชัณสูตรจะเป็นพื้นที่ของการปลูกถั่วเขียว ด้านตอนบนของเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ ช่วงอำเภอบรรพตพิสัย เป็นพื้นที่ของถั่วเหลือง ช่วงอำเภอท่าตะโก ตาคลี และพยุหะคีรี เป็นพื้นที่ของถั่วเขียว ส่วนพื้นที่อำเภอลาดยาว และหนองบัว เป็นพื้นที่ของถั่วลิสงหลังนา
วันเวลาผ่านไป จะด้วยนโยบายของภาครัฐหรือสิ่งใดก็ตาม พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง กลายเป็นแหล่งปลูกข้าวนาปรังแหล่งใหญ่ ไม่ใช่การทำนาปีละ 2 ครั้ง กลายสภาพเป็นการทำนา 2 ปี 5 ครั้งก็มี ไม่ว่าปริมาณน้ำจะมีน้อยมีมากอย่างไรเกษตรกรก็ยังเลือกที่จะทำนาเสมอ ในขณะที่ถั่วเหลืองได้หายออกไปจากพื้นที่ ถั่วลิสงยังคงเหลืออยู่ประปราย มีการค้าขายในตลาดท้องถิ่นเป็นหลัก ส่วนถั่วเขียวยังคงอยู่บางส่วนเพื่อรองรับโรงงานวุ้นเส้นและธุรกิจถั่วงอก ซึ่งก็จำกัดอยู่ในวงแคบๆ สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นไม่ปรากฏในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวโพดที่ปลูกในช่วงต้นฝนในพื้นที่ไร่ เช่น บริเวณอำเภอตากฟ้า ไพศาลี หนองบัว ของจังหวัดนครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ลพบุรี เป็นเขต corn belt ที่สำคัญของไทย สามารถผลิตได้มากจนส่งออกจำหน่ายยังต่างประเทศได้ ต่อมา corn belt ก็เริ่มล่มสลายไป เมื่อเกษตรกรประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง corn belt จึงขยับขึ้นไปสู่พื้นที่สูงที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ของดิน กลไกที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนครั้งนี้ คือ ผู้ค้าเมล็ดพันธุ์ และ ผู้รวบรวมผลผลิต โดยมีเกษตรกรเป็นเครื่องมือ จนกระทั่งป่าข้าวโพดได้บุกป่าไม้จริง ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ตามมา
ในระยะ 10 ปีหลัง หลายฝ่ายเริ่มตระหนักว่าหากยังปล่อยให้ป่าข้าวโพดบุกป่าไม้จริง คงไม่ดีแน่ อีกทั้งอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความต้องการใช้ข้าวโพดเพื่อผลิตเป็นอาหารสัตว์ยังคงอยู่ การย้ายพื้นที่ปลูกข้าวโพดลงมายังพื้นที่ด้านล่างเริ่มผลักดันจริงจังมากขึ้น ต้องเข้าใจก่อนว่าข้าวโพดเป็นพืชที่ไม่เหมาะสมกับสภาพดินเหนียว และดินเหนียวส่วนใหญ่จะเป็นดินนา สภาพดินที่เหมาะสมของข้าวโพดต้องเป็นดินร่วนปนทราย การระบายน้ำดี ดังนั้น หากจะย้ายพื้นที่ลงมาจากพื้นที่สูง พื้นที่นาดอนจึงเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ โดยเริ่มตั้งแต่เขตพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ขึ้นไป ในปี 2559 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา โดยมีเป้าหมายทั้งหมด 2 ล้านไร่ แต่ทำได้จริงราว 2 แสนไร่
ต่อมาในปี 2560 โครงการดังกล่าวยังดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายลดลงเหลือ 7 แสนไร่ ทำได้จริงราว 6.4 แสนไร่ และในปี 2561 เป้าหมายยังคงอยู่ที่ 2 ล้านไร่ เป็นประเด็นที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ต้องระดมกำลังกันหาพื้นที่ให้ได้ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายของใครก็ตาม แต่ก็ตกลงไปที่กลุ่มผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเดียว ยิ่งการขยายพื้นที่ไปในพื้นที่ของภาคอีสานที่ข้าวโพดเป็นพืชที่เกษตรกรไม่คุ้นเคย ยกเว้นพื้นที่ที่บริษัทยักษ์ใหญ่เข้าไปส่งเสริมเท่านั้น แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว พื้นที่ที่เหมาะสมของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา ถูกบีบด้วยเงื่อนไขอื่นๆ อีกมาก ทั้งประเด็นการจัดสรรน้ำระหว่างนาข้าวกับแปลงข้าวโพด ความเชื่อมั่นต่อราคารับซื้อ ความคุ้นเคยของเกษตรกร และที่สำคัญเกษตรกรยุคนี้ไม่ใช่เกษตรกรที่ทางการเขาสั่งมาว่าอีกต่อไป เมื่อคิดสะระตะแล้ว ผลตอบแทนจากการทำนา ภายใต้นโยบายต่างๆของรัฐบาลที่ให้กับชาวนายังคงดึงดูดใจได้มากกว่าการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในขณะที่ฝ่ายนโยบายยังคงมุ่งมั่นกับเป้าหมายที่ 2 ล้านไร่ ความยากลำบากและความท้าทายจึงตกมายังเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดทั้งตัวพืชเองและสภาพพื้นที่ จึงเป็นการยากที่จะบรรลุเป้าหมาย และเป็นความท้าทายเช่นกัน ผลที่เกิดขึ้นจากการออกตัวแรงในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นเกษตรกรที่ต้องเสี่ยงกันอีกครั้ง
อดีตยังคงส่งผลต่อปัจจุบันเสมอขอให้พึงตระหนักกันไว้ เมื่อนโยบายยังไม่ได้มองระบบการเกษตรเป็นองค์รวม เรื่องราวดังกล่าวจึงยังคงวนเวียนอีกต่อไป ไม่ใช่คนแรกที่ทำ และไม่ใช่คนสุดท้ายเช่นกัน
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี