ประมงเฮ!รัฐบาลหนุน
ตั้งกองทุนให้กู้ยืมเงิน
พร้อมหลายมาตรการ
บิ๊กฉัตรชี้‘อียู’เชื่อมั่น
รัฐบาลตั้งกองทุนบริหารจัดการประมงให้กู้เงินถูกกฎหมาย ขณะเดียวกัน ได้มีการปูพรม22 จังหวัด ตรวจสอบการมีอยู่จริงของเรือประมง 571 ลำป้องกันการสวมสิทธิ์ก่อนจะนำออกนอกระบบ ด้าน “บิ๊กฉัตร ยืนยัน ผู้นำเข้ากลุ่มยุโรป เชื่อมั่นสินค้าประมงไทย หลังพ้นไอยูยูและการค้ามนุษย์
เมื่อวันที่ 10 มกราคม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานว่า ที่ประชุมรับทราบกรณีที่สหภาพยุโรป ปลดใบเหลืองประเทศไทยในทำประมงผิดกฎหมายไร้การควบคุม(ไอยูยู) และหลังจากนี้ รัฐบาลจะยังคงความต่อเนื่องในการจัดระเบียบ รักษามาตรฐานการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมขอความร่วมมือกับภาคการประมง ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล พัฒนาคุณภาพชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน โดยจะร่วมกันจัดตั้งกองทุนบริหารการจัดการประมง ซึ่งรัฐบาลและต่างประเทศจะสนับสนุนงบประมาณ ให้ชาวประมงได้กู้ยืม เพื่อส่งเสริมการทำประมงถูกกฎหมาย จะมีการปรับโครงสร้างกองเรืออย่างเหมาะสม ปรับปรุงท่าเทียบเรือ และสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการประมงพื้นบ้าน ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 8 มกราคม
นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยชาวประมงพื้นบ้าน ที่ถูกยกเลิกทะเบียนเรือ ไม่สามารถออกเรือได้ โดยจะมีการจ่ายเงินชดเชย พร้อมอำนวยความสะดวกในการขายเรือประมง ที่ไม่ต้องการทำประมงต่อ โดยขายให้ต่างประเทศ เบื้องต้นขายไปแล้ว 70ลำ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ส่วนเรือที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกทำการประมงนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้เปิดอุทธรณ์ เพื่อให้กลับมาทำประมงได้ และยังมีการเพิ่มวันทำประมง โดยนำจำนวนเรือที่ไม่สามารถออกทำประมงมาเฉลี่ยให้ เช่น ฝั่งอ่าวไทย เรืออวนลาก ทำประมงได้ 24 วัน เรืออวนล้อม ทำได้ทั้งปี ทั้งนี้ ในฐานะที่ไทยเป็นประธานอาเซียนปี 2562 ไทยจะยกระดับแก้ไขปัญหาประมงในระดับภูมิภาค ซึ่งจะมีบทบาทนำในการแก้ไขปัญหา โดยใช้กลไกกระทรวงกลาโหม ซึ่งที่ประชุมกระทรวงกลาโหมอาเซียน เห็นชอบร่วมกันแล้ว ให้ไทยนำการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย
ทางด้าน นายอรุณชัย พุทธเจริญ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการนำเรือออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานรวบรวมข้อมูลสภาพเรือประมงในพื้นที่ ทั้ง 22 จังหวัดชายทะเล โดยในแต่ละจังหวัดจะประกอบไปด้วยคณะทำงานฯจำนวน 6 คน ได้แก่ ประมงจังหวัด ผอ.สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค เจ้าพนักงานตรวจเรือ ผู้แทนสมาคมประมง หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง และนักวิชาการประมง ซึ่งจะทำหน้าที่ประเมินสภาพเรือประมงในพื้นที่ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะทำงานประเมินราคาฯ กำหนด
นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเรือประมงทั้งภาพถ่าย เอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผลการประเมินเรือทั้งหมดส่งให้คณะทำงานประเมินราคาฯ ดำเนินการต่อไป ล่าสุด คณะทำงานชุดดังกล่าว ทั้ง 22 จังหวัดชายทะเล ได้เริ่มลงพื้นที่ตรวจประเมินสภาพความมีอยู่จริงของเรือที่แจ้งความประสงค์นำออกนอกระบบ กลุ่มที่ 1 ซึ่งในขณะนี้มีจำนวน 571 ลำ
สำหรับเกณฑ์การประเมินเพื่อรับค่าชดเชยในการนำเรือประมงออกนอกระบบนั้น จะประเมินจากโครงสร้างของเรือ โดยเกณฑ์การให้น้ำหนักคะแนนแต่ละโครงสร้าง จะพิจารณาจากสภาพไม้และปริมาณไม้ที่ใช้ในการประกอบเป็นโครงสร้างแต่ละส่วน จำนวน 4 ส่วน ได้แก่ 1.เปลือกเรือ 2.พื้นเรือ–ดาดฟ้า 3.กงเรือ–กระดูกงู และ 4 เก๋งเรือ นอกจากนี้ เรือประมงดังกล่าว จะต้องแสดงหลักฐานรายละเอียดของเรือประมง อาทิ อัตลักษณ์ การตรึงพังงา สถานที่จอดเรือ เพื่อเปรียบเทียบกับภาพถ่ายเมื่อปี 2558 หรือปี 2560 เพื่อยืนยันการมีอยู่จริงและป้องกันการสวมสิทธิ์ของเรือประมงที่จะนำออกนอกระบบ โดยการประเมินค่าชดเชย จะคำนวณจากราคาอ้างอิง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558
ทั้งนี้ การประเมินสภาพเรือประมงที่จะนำออกนอกระบบ จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 12มกราคม จากนั้น คณะทำงานประเมินราคาฯ จะจัดทำสรุปผลการประเมินราคาเรือเป็นรายลำและรวบรวมสรุปจำนวนเรือและราคาประเมินทั้งหมด เสนอต่อคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป จึงขอความร่วมมือจากเจ้าของเรือประมงที่ประสงค์นำเรือออกนอกระบบที่มีจุดจอดเรือ ณ จังหวัดต่างๆ เร่งติดต่อกับสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ เพื่อให้การปฏิบัติดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อสงสัยติดต่อศูนย์ประสานงานการนำเรือออกนอกระบบ โทร.0 2561 0543 และสำนักงานประมงจังหวัดชายทะเลทุกจังหวัด
วันเดียวกัน ที่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผู้นำเข้าสินค้าประมงไทยภายหลังอียูปลดใบเหลืองประมงไทย โดยมีสมาคมผู้นำเข้าสินค้าประมงสหภาพยุโรปรายใหญ่เข้าร่วมงาน อาทิ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร ประจำสหราชอาณาจักร สมาคมการค้าที่สนับสนุนการค้าอย่างยั่งยืน (AMFORI)
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า แม้ในช่วงที่มาประเทศไทยจะมีปัญหาความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และปัญหาการค้ามนุษย์ หรือไอยูยู แต่ผู้นำเข้าในกลุ่มประเทศยุโรปก็ยังคงให้ความเชื่อมั่นสินค้าประมงของไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Seafood Task Force ที่ช่วยสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนข้อแนะนำในการดำเนินการต่างๆ ทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการที่แก้ไขปัญหาในระยะเวลาอันสั้น
“ความสำเร็จครั้งนี้ส่งผลดีปรับภาพลักษณ์ทำการประมงของไทยและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ4 ของโลก ได้ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก พ้นจากไอยูยู หรือการค้ามนุษย์ ได้สร้างความมั่นใจต่อผู้นำเข้าและผู้บริโภค โดยไทยจะไม่หยุดแค่นี้ มีเป้าหมายส่งเสริมความยั่งยืนทางทะเลในทุกระดับ ครอบคลุมเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล พร้อมรับผิดชอบกับประชาคมโลกในการรักษาทรัพยากรทางทะเล และสินค้าประมงจากไทย มาจากแรงงานที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยร่วมกับทุกประเทศในโลกนี้ เพื่อขจัดปัญหาการทำประมง IUU และปัญหาการค้ามนุษย์ ในภาคประมงให้หมดสิ้นไป” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี