กรมแพทย์แผนไทยฯ คัดกรอง 2.5 หมื่นสูตร ค้นพบ‘16 ตำรับยาไทย’ มีส่วนผสม‘กัญชา’ คลอดกฎหมายรองรับเมื่อไรใช้ในทางการแพทย์ได้ทันที
25 ม.ค.62 นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ว่า กรมการแพทย์แผนไทยฯ จะเป็นแกนกลางในการพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยทั้งหมด เพื่อนำสู่การแปรรูปเชิงพาณิชย์ เนื่องจาก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา เครื่องสำอาง ยาสมุนไพร โดยทั้งหมดมีมูลค่าเป็นแสนล้าน
“ส่วนการพัฒนาเรื่องสารสกัดจากกัญชา เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ขณะนี้กำลังผลักดันร่างกฎหมายเพื่อให้กัญชาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ยังเป็นสารเสพติดอยู่ ซึ่งก็จะมีกรอบในการใช้ กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) จะเป็นแกนหลักในการออกกฎกระทรวง ระเบียบต่างๆทั้งการเพาะปลูก แปรรูป และการขึ้นทะเบียน ซึ่งตรงนี้ทาง อย.จะเป็นผู้ดำเนินการและให้ข้อมูลเหล่านี้ โดยอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ทั้งหมดไม่ต้องกังวล จะมีกรอบระเบียบในการใช้อย่างเข้มงวดอยู่แล้ว” รมว.สธ. กล่าว
ด้าน นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมฯได้มีการรวบรวมสูตรตำรับยาแผนไทย เพื่อเสนอต่อ รมว.สธ. เบื้องต้นได้มีการศึกษาและหารือกันกับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญต่างๆหลายครั้ง สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า ควรจะมีการใช้ตำรับยาที่มีส่วนผสมของกัญชามาจากตำรับตำราขาของชาติเท่านั้นที่มีอยู่กว่า 26,000 ตำรับ เมื่อตรวจสอบดูแล้ว เบื้องต้นมีอยู่ 212 ตำรับ แต่มีความซ้ำซ้อนกัน ซึ่งเมื่อดูแล้วเหลือเพียง 90 ตำราที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม จึงต้องมาประชุมกันอีกว่าในส่วนนี้จะสามารถนำมาใช้ตรงไหนได้บ้าง เนื่องจากของเดิมถูกห้ามใช้เนื่องจากบอกว่าเป็นยาเสพติด
“เมื่อได้มาสรุปกันแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม ก. 16 ตำรับ ซึ่งมีกัญชาเป็นส่วนประกอบใหญ่ และบางตำรับก็เป็นยาที่ใช้กันอยู่ แต่มีการตัดส่วนผสมที่เป็นกัญชาออก ซึ่งในกลุ่มนี้น่าจะสามารถปรุงเอง รักษาเอง จัดการเองได้ไม่ยาก แต่หากโรงพยาบาลใดที่ไม่พร้อม แต่มีแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์พื้นบ้าน อยากใช้จริงๆ กรมฯ จะผลิตและจำหน่ายผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ตามระบบ ซึ่งจะใช้ทั่วประเทศได้” นพ.มรุต กล่าว
นพ.มรุต กล่าวอีกว่า สำหรับ 16 ตำรับส่วนใหญ่รักษาเรื่องลม การนอนหลับ แก้ปวด รับประทานอาหารได้ เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ประกอบด้วย 1. ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ 2.ยาอัคคินีวคณะ 3.ยาศุขไสยาศน์ 4.ยาแก้ลมเนาวนารีวาโย 5.ยาแก้ลมขึ้นเบื้องสูง 6.ยาไฟอาวุธ 7.ยาแก้นอนไม่หลับ หรือยาแก้ไข้ผอมเหลือง
8.ยาแก้สัณฑฆาต กร่อนแห้ง 9.ยาอัมฤตโอสถ 10.ยาอไภยสาลี 11.ยาแก้ลมแก้เส้น 12.ยาแก้โรคจิต 13.ยาไพสาลี 14.ยาทาริดสีดวงทวารหนักและโรคผิวหนัง 15.ยาทำลายพระสุเมรุ และ 16.ยาทัพยาธิคุณ
กลุ่ม ข. 11 ตำรับ คือกลุ่มที่เห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพ แต่วิธีที่จะมาปรุงยาอย่างไร บางครั้งยังไม่ชัดเจน หรือมียาสมุนไพรบางอย่างที่ระบุเอาไว้ยังหาได้ยาก ซึ่งอาจจะต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก่อน
กลุ่ม ค. มี 31 ตำรับ คือกลุ่มที่ยังไม่แน่นอน และมีส่วนผสมของกัญชาน้อยดูแล้วไม่น่าจะมีผลเท่าใดนัก แต่มีการเขียนไว้ในคัมภีร์ คำกลอน บ้าง หรือยังไม่ระบุว่าสามารถรักษาโรคต่างๆ หรือวิธีการใช้ วิธีการปลูกก็ยังได้ชัดเจน ซึ่งหากจะใช้จริงก็ต้องมีการศึกษาวิจัยก่อนว่าใช้ได้ผลอย่างไร
กลุ่ม ง. หลายตัวมีแพทย์แผนไทยบางส่วนอยากใช้ แต่เนื่องจากมีสารพิษบางตัวผสมอยู่ เช่น ปรอท สารหนู หรือมีตัวที่ทางWHO ห้ามใช้ เช่น คล้ายเครือ เนื่องจากมีสารพิษอยู่ หรือมีส่วนประกอบของพืชและสัตว์ ซึ่งประกาศห้ามใช้ตามอนุสัญญาไซเตส(CITES) หากใช้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปจากโลก ดังนั้นในกลุ่มนี้หากจะมีการใช้ตัดบางตัวที่เป็นพิษออกไปได้หรือไม่ หรือจะใช้บางตัวบอกว่าพิษแก้พิษ เราก็ไม่กล้าใช้
ทั้งนี้ หากจะใช้ในส่วน ค. และ ง. ต้องมีการดูแลประชาชนอย่างดี หากเกิดผลเสียการคุ้มครองผู้บริโภคก็จะเสียไป เพราะฉะนั้นต้องเป็นโครงการงานวิจัยเท่านั้นที่จะวิจัยและมีการติดตามพิเศษเพื่อเช็คผลที่จะเกิดขึ้น
“ที่ใช้ได้เลยหากกฎหมายออกมา คือ กลุ่ม ก. ซึ่งมี 16 ตำรับ แต่ทั้งหมดต้องขออนุญาตคณะกรรมการยาเสพติด และเกณฑ์ตามที่ อย.กำหนด จากนั้นจึงออกเป็นประกาศโดย รมว.สธ.ลงนาม ดังนั้นขณะนี้ จึงยังใช้ไม่ได้ เพราะกฎหมายยังไม่มีมารองรับ” นพ.มรุต กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กฎหมายจะรองรับให้รายบุคคลใช้ได้แล้วหรือไม่ นพ.มรุต กล่าวว่า อนุญาตใน 4 กลุ่ม แต่ต้องผ่านการอบรม การขออนุญาต ซึ่งจะมีระบบในการตรวจสอบเข้มงวด เพราะกัญชาก็เป็นยาเสพติด เพียงแต่อนุญาตให้นำมาใช้ทางการแพทย์ รวมทั้งเมื่ออนุญาตแล้วก็จะมีระบบตรวจสอบอีก ที่สำคัญแพทย์พื้นบ้าน และหมอพื้นบ้าน ในกติกาเดิมสามารถปรุงยาของตัวเองได้ ซึ่งอาจต่างจาก 16 ตำรับนั้น โดยในเรื่องนี้ก็ต้องเอาตำรับของตัวเองมาแจ้งทางกรมฯ และจะต้องผ่านคณะกรรมการว่าใช้ได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการรัดกุม และป้องกันการใช้ในทางที่ผิด ทางกรมฯ มี 2 ทางเลือก คือ 1.จะผลิตออกเป็นตำรับยาสำเร็จ และกระจายให้ทางโรงพยาบาลต่างๆ ที่ต้องการมาขึ้นทะเบียนรับไปใช้ประโยชน์กับผู้ป่วยแบบมีข้อกำหนด และ 2.จะทำเป็นเครื่องยาผสมกัญชากลาง สำหรับการปรุงยาเฉพาะรายขึ้น เพื่อให้ไม่ต้องไปหาวัตถุดิบเอง ไม่ต้องหากัญชาเดี่ยวๆ แต่เราจะทำเป็นเครื่องยาผสมกัญชาแล้ว
ส่วนเรื่องสิทธิบัตรกัญชา ที่ยังไม่ชัดเจนนั้น ของเรากระทบน้อย ตรงที่เป็นการใช้แบบสด แต่ที่ต่างชาติมาจดสิทธิบัตรจะเป็นเรื่องสารสกัด THC และ CBD แต่กรมฯก็เป็นห่วง เพราะจริงๆ ก็ไม่น่าจะขอสิทธิบัตรได้ เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติ และตัวกัญชาก็ยังเป็นยาเสพติดอยู่ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี