ปลัดศธ.เผย ครม.เห็นชอบให้ศธ.ดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับนักเรียนในโรงพยาบาล ต่อระยะที่3เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กที่ป่วยเรื้อรัง
ครม.ไฟเขียวให้ศธ.ดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับนักเรียนในโรงพยาบาล
30 ม.ค. 62 นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ที่มี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศธ.) เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้รับทราบ กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 29 ม.ค.562 ได้มีมติเห็นชอบการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับนักเรียนในโรงพยาบาล ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอขอ ซึ่งโครงการนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)โดยสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้ร่วมกับโรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดตั้งศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังที่รักษาในโรงพยาบาลขึ้น เพื่อให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้รับโอกาสกลับไปศึกษาอย่างต่อในสถานศึกษาเดิม เป็นการลดจำนวนเด็กออกกลางคันและเป็นการฟื้นฟูสมรรถนะทางร่างกาย อารมย์ สังคม สติปัญญาอย่างมีคุณภาพ อันเป็นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา
โดยที่ผ่านมา ครม.มีมติให้ดำเนินการโครงการ ศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลนี้มาแล้ว 2 ช่วง ช่วงที่ 1 ระยะ 5 ปี(ปีงบประมาณ 2552-2556) ช่วงที่ 2 ระยะ 5 ปี(ปีงบประมาณ 2557-2561) ดังนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการนี้ได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงศึกษาฯ จึงเสนอที่ประชุม ครม.พิจารณาใน 3 ประเด็น โดยประเด็นแรก ขอเปลี่ยนชื่อจากเดิม ชื่อ “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล” เปลี่ยนเป็น “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับนักเรียนในโรงพยาบาล” เพื่อดำเนินการในช่วงที่ 3 ระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2562-2566)ต่อไป
ประเด็นที่ 2 ขออนุมัติกรอบแผนการขยายศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล และกรอบอัตรากำลังการจ้างครูอัตราจ้าง จำนวน 99 ศูนย์การเรียนใน 77 จังหวัด และครูอัตราจ้าง 297 คน
และประเด็นที่ 3 ขออนุมัติให้สำนักงบฯ จัดสรรงบฯดำเนินการและสนับสนุนงบฯค่าตอบแทนครูอัตราจ้างศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล วงเงิน 297 ล้านบาทเศษ หรือตามการขยายการจัดตั้งศูนย์การเรียนฯในแต่ละปีงบประมาณตามความจำเป็น ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นนี้ ครม.ได้มีมติเห็นชอบแล้ว
นายการุณ กล่าวต่อว่า และที่ประชุม ครม.ยังมีมติเห็นชอบให้ ศธ. เบิกจ่ายงบกลาง เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายรายการค่าหนังสือเรียน ปีการศึกษา 2561 ของ สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)จำนวน 455 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) จำนวน 504 ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาฯเสนอขอไว้
“จากนี้ไป ศธ.ก็จะเร่งดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายงบฯร่วมกับสำนักงบประมาณ โดยเร่งให้ สช. และสพฐ.เบิกจ่ายงบกลาง รายการค่าหนังสือเรียน ไปยังสถานศึกษาในสังกัด ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ.2562 โดยจะมีกลไกติดตาม กำกับ การใช้จ่ายงบฯให้เกิดความคุ้มค่า ครบถ้วน ทั่วถึง และโปร่งใส ตามครามเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)และสำนักงบฯ” ปลัดศธ. กล่าว
นายการุณ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลนหนองจิก ท้องที่ ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อเป็นที่ตั้งโรงเรียนบ้านปากบางตาวา ตามที่กระทรวงศึกษาฯ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เสนอขอใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลนหนองจิก หมู่ที่ 1 บ้านคลองรี ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จำนวน 9 ไร่ 2 งาน 12 ตารางวา ต่อสัญญาเช่าเพิ่มอีก 30 ปี เนื่องจากสัญญาเช่าเดิมหมดอายุ ซึ่ง ครม.ก็มีมติเห็นชอบ แต่มีเงื่อนไขให้สพฐ.จัดสรรงบฯให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ไป รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 2,323,414 บาท และให้กระทรวงศึกษาฯ ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบฯประจำปีตามความเห็นของสำนักงบฯและสภาพัฒน์ฯต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี