31 ม.ค. 2562 ผศ.ดร.สมพร จันทระ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหัวหน้าโครงการวิจัย การติดตามตรวจสอบการเผาในที่โล่งในภาคเหนือของประเทศไทยสำหรับการประเมินการปล่อยและการเคลื่อนที่ของมลพิษทางอากาศเพื่อการวางแผนการจัดการปัญหาหมอกควัน โดยการสนับสนุนของหน่วยบูรณาการวิจัยและความร่วมมือเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่ (ABC) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า ในปี 2562 นี้ภาคเหนืออาจต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นละอองยาวนานถึง 2 เดือน
โดยจากการวิเคราะห์ฝุ่นละอองที่ได้จากการทดลองเผาชีวมวลประเภทต่างๆ ที่เก็บมาจากแปลงข้าวและข้าวโพดรวมถึงเศษไม้เศษใบไม้ในผืนป่าเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบน พบสารก่อมะเร็งในกลุ่มพอลิไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ถึง 16 ชนิด สารเหล่านี้เกิดจากการเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ของสารอินทรีย์ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และชีวมวลต่าง ๆ ที่เมื่อรับสารกลุ่มดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายต่อเนื่องยาวนาน จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้
ทั้งนี้เนื่องจากสารแต่ละชนิดมีความเป็นพิษที่ไม่เท่ากัน การจะรู้ว่าคนในพื้นที่นั้นมีความเสี่ยงนี้มากน้อยเพียงใด จึงต้องทราบถึงชนิดและปริมาณสารก่อมะเร็งในฝุ่นขนาดเล็กที่ปกคลุมอยู่ในบริเวณนั้นเสียก่อน กับค่าความเป็นพิษของสารแต่ละตัว ไปเป็นหนึ่งในตัวแปรเพื่อคำนวณค่าความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจากการหายใจของประชากรของพื้นที่นั้นออกมา และทำให้รู้ว่าประชากรแต่ละกลุ่มนี้ในพื้นที่แห่งนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งจากการได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในระยะยาว มากน้อยเพียงใด
ผศ.ดร.สมพร กล่าวต่อไปว่า งานวิจัยพบการเผาฟางข้าวข้าวและข้าวโพด รวมถึงเศษไม้เศษใบไม้ในผืนป่า ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 1 กิโลกรัม จะทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้ 2.15 - 4.38 กรัม ซึ่งเมื่อนำไปคำนวณกับการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ทำเกษตรในภาคเหนือตอนบนที่เพิ่มจากจาก 26,225 ตารางกิโลเมตร เป็น 39,061 ตารางกิโลเมตร ในช่วง 10 ปี (2549-2558) บวกกับปัญหาหมอกควันข้ามแดน ที่เกิดเป็นฝุ่นควันจากการเผาของประเทศเพื่อนบ้านหรือการเผานอกเขตพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด ที่ลอยเข้ามาในพื้นที่ควบคุมในช่วงหน้าแล้งของทุกปี
ทำให้นักวิจัยคาดว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในช่วงประกาศใช้ห้ามเผาของปีนี้ จะยังคงอยู่ในปริมาณที่สูงเช่นเดิม ทั้งนี้แม้การจะบอกค่าถึงความเสี่ยงนี้ต้องใช้ข้อมูลอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก และมีปัจจัยที่ต้องนำมาประกอบอีกหลายตัว แต่ผลจากการวิจัยฝุ่นในอากาศครั้งก่อนหน้านี้ พบว่า สารก่อมะเร็งกลุ่มดังกล่าวจะมีปริมาณแปรผันตามค่าความเข้มข้นของฝุ่นในอากาศ หมายความว่าถ้ามีปริมาณฝุ่นในอากาศมีค่าสูง ก็มีแนวโน้มที่สารอันตรายดังกล่าวซึ่งเป็นองค์ประกอบของฝุ่นก็จะมีค่าสูงตามไปด้วย
ดังนั้นจึงเป็นความเสี่ยงของประชากรที่อยู่อาศัยในพื้นที่ซึ่งมีโอกาสได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กมีค่าเกินมาตรฐานเป็นประจำ โดยคาดว่าในหน้าแล้งปีนี้พื้นที่ภาคเหนือตอนบนจะตรวจพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐานบ่อยครั้งขึ้น และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะพบค่าเกินมาตรฐานตั้งแต่ก่อนช่วงห้ามเผา ในช่วงห้ามเผา และหลังช่วงห้ามเผา ทำให้ประชาชนอาจต้องพกพกหน้ากากติดตัวทุกครั้งที่ออกจากบ้านยาวนานกว่า 2 เดือน
ผศ.ดร.สมพร กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ได้จากงานวิจัยนี้ ไม่ได้อยู่ที่การมีข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบและฝุ่นขนาดเล็กหรือแบบจำลองแสดงทิศทางการพัดพามลพิษเหล่านี้ให้รู้ว่าจะไปปกคลุ่มอยู่ที่ไหนเวลาใดเท่านั้น แต่เป็นการสร้างกลไกการเชื่อมต่อข้อมูลวิจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค รวมถึงหน่วยงานเชิงนโยบาย เช่น คณะกรรมการจัดการไฟป่าและหมอกควันแห่งชาติ เพื่อนำเกิดการนำข้อมูลไปใช้ในการจัดการกับปัญหาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“คิดว่าปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กที่คนในเมืองหลวงกำลังประสบ และที่คนเชียงใหม่ต้องเผชิญมาตลอด 10 ปีนี้ คือโอกาสในวิกฤติที่จะทำให้ทุกคนหันมาสนใจปัญหาเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องมลพิษทางอากาศ และเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว การหันมาใช้รถสาธารณะ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น” ผศ.ดร.สมพร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี