ผมมีโอกาสไปแม่กลองในช่วงไม่นานมานี้ ผลไม้ที่ขึ้นชื่อของที่นี้นอกจากส้มโอและมะพร้าวแล้ว เห็นจะเป็นลิ้นจี่แม่กลอง ปกติช่วงเดือนปลายมีนาคม ต่อเมษายน ยาวไปถึงต้นพฤษภาคม เป็นช่วงที่ลิ้นจี่แม่กลองเก็บเกี่ยวพอดี แต่ปีนี้เห็นว่าหนาวไม่พอ ลิ้นจี่แม่กลองไม่ออกดอก ตาดอกเปลี่ยนเป็นตาใบเสียหมด ใครที่เป็นแฟนลิ้นจี่แม่กลองคงต้องลุ้นกันในปีต่อไป
ลิ้นจี่นับว่าเป็นผลไม้ที่ไม่ธรรมดา เป็นผลไม้ที่มีมาแต่โบราณ ย้อนไปประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์ถัง ลิ้นจี่เป็นผลไม้โปรดของหยางกุ้ยเฟย พระสนมของจักรพรรดิถังเสวียนจงถึงกับทรงบัญชาให้ทหารม้านำลิ้นจี่จากแหล่งปลูกทางตอนใต้ของจีน เดินทางข้ามวันข้ามคืนมาถวายที่ฉางอานกันเลยทีเดียว เป็นผลไม้ที่จักรพรรดิต้องถามถึง จึงบ่งบอกถึงความไม่ธรรมดาของลิ้นจี่ได้เป็นอย่างดี
ว่ากันว่าลิ้นจี่แม่กลองถูกนำเข้ามาปลูกโดยพ่อค้าชาวจีนนำผลลิ้นจี่มาจากเมืองจีน โดยไม่แน่ขัดว่านำเข้ามาขายหรือนำมาฝากญาติที่อาศัยอยู่แถบลุ่มน้ำแม่กลองและแควอ้อมในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งในยุคนั้นแม่กลองยังขึ้นอยู่กับมณฑลเพชรบุรี แหล่งปลูกลิ้นจี่ในครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2340 คือที่ตำบลบางสะแก อำเภอบางคนที และตำบลเหมืองใหม่ อำเภออัมพวา โดยยังมีต้นลิ้นจี่ที่มีอายุกว่า 200 ปี ให้เห็นกันอยู่ ชาวแม่กลองได้อนุรักษ์ไว้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ประเภทผลเดี่ยวอยู่ในวงศ์ SAPINDACEAE วงศ์เดียวกับเงาะและลำไยนั่นเอง โดยปกติอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและออกดอกติดผลของลิ้นจี่ควรมีอากาศเย็นในฤดูหนาวและไม่มีอากาศร้อนจัด คือ อุณหภูมิตํ่ากว่า 40 องศาเซลเซียส และในช่วงก่อนดอกต้องการอุณหภูมิตํ่ากว่า 15 องศาเซลเซียส ไม่น้อยกว่า 50 ชั่วโมง หรือตํ่ากว่า 10 องศาเซลเซียส ไม่น้อยกว่า 50 ชั่วโมง เมื่อติดผลแล้วอุณหภูมิจะสูงขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส จะทําให้ผลแห้งและแตกได้แต่ปีนี้อุณหภูมิไม่ได้เลยจริงๆ
สำหรับพันธุ์ลิ้นจี่แม่กลองนั้นที่ปลูกกันมากคือ พันธุ์ค่อม ผลมีขนาดใหญ่กลมสีแดงเข้ม เปลือกกรอบบาง หนามห่างสั้นแหลม เนื้อหนา หวาน มีกลิ่นพิเศษ เนื้อแห้ง สีขาวขุ่นมีลักษณะเด่น 4 อย่าง คือ หนามตั้ง หนังตึง เนื้อเต่ง ร่องชาด ซึ่งเป็นที่โดนใจของผู้ที่ชื่นชอบลิ้นจี่อย่างยิ่ง
มีความพยายามของนักวิจัยจากหลายสำนักที่จะทำให้ลิ้นจี่แม่กลองติดดอกออกผล โดยไม่ต้องอาศัยอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียล ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ลิ้นจี่เกิดความเครียด ซึ่งโดยหลักการแล้ว ต้นไม้เขาก็เกิดการเรียนรู้ได้เหมือนกัน เมื่อเขารู้สึกว่าใกล้จะตายเขาจะพยายามออกดอกติดผลเพื่อจะขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป เป็นความอัศจรรย์หนึ่งของธรรมชาติที่เราอาจไม่ได้สังเกตว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ต่างก็พยายามที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองไว้จนสุดความสามารถ การทำให้เกิดความเครียดต่อลิ้นจี่ มีการทดลองหลายลักษณะ ทั้งการควั่นกิ่ง ควั่นลำต้น การเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ แม้แต่การพ่นละอองน้ำ แต่ก็ยังไม่เป็นผล ชาวสวนลิ้นจี่สมุทรสงคราม ตัดใจโค่นต้นลิ้นจี่ทิ้งเป็นจำนวนมาก เปลี่ยนไปเป็นพืชชนิดอื่นที่มีความแน่นอนในการออกดอกติดผลมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นมะพร้าว หรือ ส้มโอ ซึ่งเพื่อความอยู่รอดในการทำอาชีพชาวสวน การหวังพึ่งลิ้นจี่ที่ไม่แน่ไม่นอน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ส่วนลิ้นจี่ได้กลายเป็นไม้ผลสัญลักษณ์ เหลือพอให้ได้ลุ้น หุ้นส่วนกับเทวดาฟ้าดิน วัดใจกันไป
แต่ละปี แฟนสานุแฟนลิ้นจี่แม่กลองต้องรอคอยการประกาศจากจังหวัดสมุทรสงครามว่าปีนี้ลิ้นจี่แม่กลองติดดอกออกผลหรือไม่ ในขณะที่จำนวนต้นลิ้นจี่ในสวนที่แม่กลองก็ลดจำนวนลงไปเป็นตามลำดับ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าเราจะทำอย่างไรให้ลิ้นจี่แม่กลองสามารถติดดอกออกผลได้ทุกปีเช่นผลไม้ชนิดอื่น สิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องใช้งานวิจัยและพัฒนามาแก้ปัญหาเท่านั้น คงต้องรอและช่วยลุ้นกันต่อไป
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี