ยธ.-สธ.ตั้งกก.ร่วม
วางกรอบใช้กัญชา
สกัดทำยารักษาโรค
นัดถกสัปดาห์หน้า
ยธ.-สธ.จับมือ ตั้งคณะกรรมการร่วมขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์ และรักษาโรคอย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทางหลัง พ.ร.บ.ยาเสพติด 2562ประกาศใช้เป็นทางการ นัดหารือสัปดาห์หน้า วางกติกาป้องกันนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษฉบับที่ 7 พ.ศ.2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ใช้กัญชาในการวิจัยทางการแพทย์เป็นหลัก ซึ่งในการใช้ให้เกิดประโยชน์ตามจุดมุ่งหมาย ต้องมีทั้งมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแล ซึ่งมาตรการส่งเสริมทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เป็นผู้ดูแล รวมถึงต้องดูแลหน่วยงานวิจัยต่างๆ ที่เป็นของคนไทย ซึ่งสามารถผลิตได้ตั้งแต่ต้นทางกลางทางและปลายทาง โดยต้องกำหนดกติกาเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการนำกัญชามาใช้ ผิดวัตถุประสงค์
พล.อ.อ.ประจินกล่าวต่อว่าการมี พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเปิดโอกาสให้ผลิตกัญชาได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และเปิดโอกาสให้รมว.สาธารณสุขปรับเปลี่ยนกฎกระทรวงและข้อบังคับต่างๆเกี่ยวกับกัญชา เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตสกัด และใช้ประโยชน์จากสารสกัดกัญชารักษาโรคและทดสอบในคนได้ ซึ่งต้องกำหนดว่าสารสกัดจากกัญชาสามารถรักษาโรคใดได้บ้าง และต้องอยู่ในความดูแลของสถานพยาบาลหรือกลุ่มแพทย์กลุ่มใดบ้าง ซึ่งในการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงยุติธรรมจะขับเคลื่อนร่วมกัน ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล โดยจะประชุมคณะกรรมการสัปดาห์หน้า
ส่วนข้อสงสัยที่ถามกันมากว่าเกษตรกรทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมได้หรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เขียนไว้ชัดเจนว่า เกษตรกรที่รวมตัวกันเป็นสหกรณ์การเกษตร หรือวิสาหกิจชุมชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปยังไม่สามารถดำเนินการใดๆหรือ มีกัญชาไว้ในครอบครองหรือใช้ได้ เนื่องจากกัญชา ยังเป็นยาเสพติดประเภท 5 ในประมวลกฎหมายยาเสพติดแต่อาจมีโอกาสมีส่วนร่วมได้ ในอนาคต ในการพิจารณาแก้ไขร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหญ่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)
สำหรับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่7 พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งระบุเหตุผลในการประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้เนื่องจากพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้ใช้บังคับมานานและมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่ทันสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ ปรากฏผลวิจัยว่าสารสกัดจากกัญชาและพืชกระท่อมมีประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกแก้มกฎหมายอนุญาตให้ประชาชนใช้กัญชาและพืชกระท่อม เพื่อรักษาโรคทางการแพทย์ได้ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ.2522 กัญชาและพืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่ห้ามผู้ใดเสพ หรือนำไปใช้บำบัดรักษาผู้ป่วยหรือนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และยังกำหนดโทษผู้เสพและผู้ครอบครองด้วย ดังนั้นเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วย และพัฒนาทางการแพทย์ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้ได้รับอนุญาต สร้างความมั่นคงด้านยาของประเทศ และป้องกันผูกขาดด้านยา จึงมีการแก้ไขพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ให้นำกัญชาและพืชกระท่อมไปใช้รักษาโรคภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี