ชาวบ้านผวา!!! จยย.ต้องสงสัยจอดทิ้ง 3 วัน 2 คืน ถนนจำเริญวิถี นครศรีธรรมราช แถมมีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ใต้เบาะ ชาวบ้านโร่แจ้งตำรวจ สุดท้ายเป็น จยย.ผู้ต้องหาชิงสร้อยคอทองคำ คาดขับ จยย.มาจอดเพื่อก่อเหตุแต่ไปรอดโดนตำรวจรวบ ขณะที่เพื่อนผู้ต้องหาอีกรายยังหลบหนี
เมื่อเวลา 11.30 น.วันนี้ (21 ก.พ.62) ตำรวจ สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งจากชาวบ้านย่านท่าวัง ถนนจำเริญวิถี ต.ท่าวัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช ตรงข้ามห้างสรรพสิ้นค้าลักกี้ว่ามีรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยถูกจอดทิ้งไว้นานกว่า 3 วันแล้ว และมีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังจากใต้เบาะรถบ่อยครั้ง จึงเดินทางไปตรวจสอบพบเป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮออนด้า เวฟ 100 สีน้ำเงิน-ขาว ทะเบียน ขขร 925 นครปฐม จอดล็อคคออยู่ริมถนน ท่ามกลางชาวบ้านนับสิบมุงดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ
จากการตรวจสอบชื่อเจ้าของรถพบว่าเป็นชื่อของนายปรีชา คชศิลา อายุ 43 ปีอาชีพก่อสร้าง เป็นคนเดียวกับผู้ต้องหาที่ก่อเหตุวิ่งราวสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ที่ห้างทองแม่มาลี เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมาและถูกเจ้าหน้าที่จับกุมหลังก่อเหตุ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเดินทางมาจาก อ.ทุ่งสง กับเพื่อนคนงานก่อสร้าง เพื่อมาก่อเหตุวิ่งราวทองเพื่อไปขายนำเงินใช้หนี้นอกระบบ แต่สุดท้ายถูกจับกุม
ต่อมา พ.ต.อ.อดิศักดิ์ เทพวรรณ์ ผกก.สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อม พ.ต.ท.ธีระวุฒิ เทพเลื่อน รอง ผกก.สส.ฯ, พ.ต.ท.ธีระพล พุ่มชัย สวป.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช พร้อมกำลังตำรวจชุดสืบสวน เข้าตรวจสอบรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวพบว่าใต้เบาะรถมีบัตรประชาชนระบุชื่อนายปรีชา คชศิลา อายุ 43 ปี, โทรศัพท์มือถือ, ตั๋วจำนำ 2 ใบ โดยเป็นตั๋วจำนำตู้เย็น และตั๋วจำนำเครื่องเจียร จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ทำการยกไปไว้ตรวจสอบ
พ.ต.อ.อดิศักดิ์ เผยว่า ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ารถจักรยานยนต์คันดังกล่าวนายปรีชา คชศิลา อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาวิ่งราวสร้อยทองหนัก 1 บาท ที่ห้างทองแม่มาลี เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และถูกจับกุมดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามผู้ต้องหาได้ให้การว่าร่วมกับเพื่อนคนงานก่อสร้างชาวอีสาน ทราบเพียงชื่อเล่น "อ่าง" ก่อเหตุวิ่งราวสร้อยคอทองคำ โดยตนลงมือก่อเหตุ ส่วนเพื่อนจอดรถจักรยานยนต์รอเพื่อพาหลบหนีนั้นเบื้องต้นชุดสืบสวนออกติดตามผู้ต้องหาอีกรายตามแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่ ต.กะปาง อ.ทุ่งสง ตามคำให้การของนายปรีชา แต่ไม่ปรากฏว่ามีคนงานก่อสร้างชื่อดังกล่าว คาดว่านายปรีชา ให้การเท็จ อย่างไรก็ตาม ชุดสืบสวนยังคงติดตามผู้ต้องหาอีกรายอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งวันนี้พบรถจักรยานยนต์ของนายปรีชา ผู้ต้องหา ถูกจอดทิ้งไว้ริมถนนจำเริญวิถี ย่านท่าวัง ห่างจากร้านทองที่เกิดเหตุประมาณ 300 เมตร จึงมีความเป็นไปได้ว่านายปรีชา ผู้ต้องหา อาจจะให้การเท็จว่าร่วมกับเพื่อนอีก 1 คน ก่อเหตุ เพราะกลัวว่าหากให้การตามความเป็นจริงว่าก่อเหตุเพียงคนเดียว จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไว้เป็นของกลาง อย่างไรก็ตามชุดสืบสวนจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดละแวกใกล้จุดจอดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว เพื่อตรวจสอบว่าผู้ต้องหา รายนี้ ขับรถจักรยานยนต์มาก่อเหตุคนเดียวหรือไม่
ขณะที่ชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่านายปรีชา คชศิลา ผู้ต้องหาวิ่งราวสร้อยคอทองคำ เช่าบ้านอยู่กับภรรยาและลูกที่ ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง ประมาณ 1-2 เดือน แต่นายปรีชา มีปากเสียงทะเลาะกับภรรยาบ่อยครั้ง เรื่องนายปรีชา ชอบดื่มสุราทุกวัน และเมื่อวันที่ 18 ก.พ.นายปรีชา ทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรง และหายตัวไป สุดท้ายมาพบว่าไปก่อเหตุวิ่งราวสร้อยทองคำ และถูกจับกุม
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เข้าตรวจสอบว่ารถจักรยานยนต์ต้องสงสัยคันดังกล่าวแล้ว พบว่าเป็นของผู้ต้องหาที่ก่อเหตุวิ่งราวสร้อยคอทองคำ ถึงกับโล่งใจ เพราะเกรงว่าจักรยานยนต์คันดังกล่าวจะมีผู้ไม่หวังดีนำมาจอดไว้เพื่อสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ เพราะจุดดังกล่าวเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช อย่าไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัย เพราะจุดดังกล่าวมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสายตรวจรถจักรยานยนต์ สายตรวจเดินเท้า และตำรวจจราจร สลับหมุนเวียนตลอด 24 ชั่วโมง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี