เกษตรกรรมแบบพึ่งตนเองแต่เดิมนั้น หากมีทุนทรัพย์เพียงพอ อยู่ในพื้นที่ที่เอื้ออำนวยทั้งน้ำ อากาศ และตลาด เกษตรกรรายนั้นๆ มีโอกาสประสบความสำเร็จในอาชีพสูง แต่เกษตรกรในบางพื้นที่ขาดปัจจัยการผลิต ขาดทุนทรัพย์ ต้องกู้ยืมจากนายทุน เป็นการสร้างหนี้สินตั้งแต่ยังไม่เริ่มเพาะปลูก ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมานั้น จะได้กำไรหรือขาดทุนก็ต้องลุ้นกันทุกปี สำหรับในพื้นที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เดิมเกษตรกรส่วนใหญ่มีการกู้เงินเพื่อลงทุนทำการเกษตรทุกปี แต่เมื่อมีการจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรโพธาราม จำกัด ขึ้น รายได้ที่ไม่แน่นอนของเกษตรกร กลับแปรเปลี่ยนเป็นความมั่นคงในอาชีพอย่างยั่งยืน
นายจำลอง รอดอิ่ม ประธานสหกรณ์การเกษตรโพธาราม จำกัด บอกว่า สหกรณ์ฯ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2519 การดำเนินงานมีความก้าวหน้าตามแนวทางบริหารของสหกรณ์แบบเป็นขั้นเป็นตอน โดยมีธุรกิจหลักหลายด้าน ได้แก่ ธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้กับสมาชิก รวบรวมผลผลิต จัดหาสินค้ามาจำหน่าย และบริการรับฝากเงิน ปัจจุบันสหกรณ์ฯมีสมาชิกกว่า 2,900 ราย ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก และนอกจากการทำธุรกิจเกี่ยวกับสหกรณ์แล้ว ยังมีการส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิกเพิ่มเติม เพื่อสร้างรายได้ในช่วงเว้นว่างจากการทำนาหลายโครงการ เช่น การเลี้ยงไก่ไข่ การปลูกผักปลอดสารพิษ การทำเห็ดฟางในตะกร้า การเลี้ยงหมูหลุม ซึ่งล้วนสร้างความพึงพอใจให้สมาชิก โดยบางรายนำไปต่อยอดจนกลายเป็นรายได้หลักเลี้ยงครอบครัว
ตลอดระยะเวลาของการบริหารสหกรณ์จนถึงปัจจุบัน สหกรณ์การเกษตรโพธาราม จำกัด สามารถบริหารเงินทุนหมุนเวียนโดยที่ไม่ต้องกู้ยืมจากภายนอกได้อย่างลงตัว อีกทั้งมียังปันผลกำไรให้สมาชิกทุกปี โดยเงินทุนที่สหกรณ์นำมาหมุนเวียนเป็นเงินทุนของสหกรณ์เอง ซึ่งเป็นเงินหุ้น เงินฝาก เงินสะสมต่างๆที่มีอยู่ นอกจากนี้สหกรณ์ยังได้จัดตั้งกองทุน “เพื่อนช่วยเพื่อน” เพื่อให้สมาชิกกู้เงินลงทุนในการผลิตและนำส่งคืนในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ
นายจำลองบอกอีกว่า นอกจากเงินทุนหมุนเวียนของสหกรณ์ฯแล้ว กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังได้เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงาน โดยเมื่อปี พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา สหกรณ์ฯได้รับเงินสนับสนุนตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อสร้างยุ้งฉางข้าว และลานตากข้าว นอกจากนี้ สหกรณ์ฯวางแผนงานเพื่อขอการสนับสนุนเพิ่มอีก 2 โครงการในอนาคต คือ โครงการรถตักข้าวกับเครื่องสีข้าว เพื่อให้บริการสมาชิกอย่างครบวงจร
ด้านนายจำลอง ทองรุ่ง สมาชิกสหกรณ์การเกษตรโพธาราม จำกัด บอกว่า ก่อนเข้ามาเป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ มีอาชีพทำเครื่องหนังอยู่ที่กรุงเทพมหานคร หลังเลิกอาชีพดังกล่าวก็ได้กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านโดยเลือกอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก เมื่อถึงฤดูทำนาก็ต้องหากู้ยืมเงินเพื่อนบ้าน หรือนำของมีค่าไปจำนำ เพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการผลิตทุกปี หลังจากเก็บเกี่ยวและขายเสร็จแล้ว ก็นำเงินไปจ่ายคืน หรือไปไถ่ของออกมาจากโรงรับจำนำ จนเป็นวัฏจักรวนเวียนเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ แต่หลังมาเป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ วัฏจักรเหล่านั้นก็หายไป เนื่องจากสหกรณ์ฯจัดหาปัจจัยการผลิตให้สมาชิกได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์ หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้การทำเกษตรในแต่ละรอบปีไม่มีหนี้สินและมีตลาดรองรับแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
จะเห็นได้ว่าระบบการสหกรณ์ฯนั้น สามารถสร้างความมั่นคงในอาชีพให้สมาชิกได้ ตลอดจนยังมีการส่งเสริมอาชีพ เพื่อสร้างรายได้เสริมให้สมาชิก ถ้านำไปต่อยอด อาชีพเสริมนั้นอาจกลายเป็นอาชีพหลักที่สร้างความมั่นคง แข็งแรงให้กับครอบครัวและชุมชนได้อย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี