8 มี.ค.62 ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้จัดการประชุมร่วมกัน ประกอบด้วย พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน , นายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ , นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดิน ในส่วนของคณะกรรมตรวจเงินแผ่นดิน ประกอบด้วย พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน , นางยุพิน ชลานนท์นิวัฒน์ , นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ , นางสาวจินดา มหัทธนวัฒน์ , นายวีระยุทธ ปั้นน่วม , นายสรรเสริญ พลเจียก , ศาสตราจารย์ ดร.อรพิน ผลสุวรรณ์ สบายรูป กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และนายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
พล.อ.วิทวัส เปิดเผยถึงการประชุมร่วมระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ว่า ได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนที่เข้ามายัง ทั้งสององค์กร ไม่ว่าจะเป็นกรณีความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม กรณีปัญหาการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน กรณีการร่วมมือและช่วยเหลือกันในการติดตามข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย ตามข้อเสนอแนะของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และกรณีข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมถึงการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลซึ่งกันและกัน ที่จะช่วยขับเคลื่อน การทำงานให้สะดวกรวดเร็วและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับกระบวนการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ให้สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเกิดความชัดเจน และลดความซ้ำซ้อนในการทำงานระหว่างสององค์กร ส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมรัดกุม อำนวยประโยชน์สุขและบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
โดยความร่วมมือดังกล่าวสืบเนื่องจากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 221 ที่กำหนดให้องค์กรอิสระให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกัน
พล.อ.วิทวัส กล่าวว่า การประชุมวันนี้ร่วมกันกำหนดแนว ทางปฏิบัติงาน ดังนี้
1.กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องร้องเรียนโดยมีทั้งประเด็นความเดือดร้อนและความไม่เป็นธรรม และประเด็นการใช้จ่ายเงินแผ่นดินที่ชัดเจนตามคำร้องเรียนไว้แล้ว และจากการประสานงานในภายหลังพบว่าคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนในประเด็นการใช้จ่ายเงินแผ่นดินไว้แล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป สำหรับในประเด็นความเดือดร้อนและความไม่เป็นธรรมนั้น เป็นหน้าที่ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องขจัดหรือระงับความเดือดร้อนและความไม่เป็นธรรมต่อไปตามมาตรา 22 และมาตรา 33 ต่อไป
2.กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องร้องเรียนไว้ดำเนินการแล้ว และจากการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว พบว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน ของรัฐที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวินัยการเงินการคลังหรือเป็นการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
3.กรณีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยรับตรวจให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับแล้ว แต่หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยรับตรวจไม่ปฏิบัติตามและประชาชนยังคงได้รับความเดือดร้อนหรือได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินช่วยเหลือติดตามและเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับดังกล่าว ตามหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน
4.หากมีกรณีปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชนที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของทั้งสององค์กร ผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินอาจปรึกษาหารือดำเนินการตรวจสอบ และแสวงหาข้อเท็จจริงตามหน้าที่และอำนาจร่วมกัน เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยรับตรวจให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม รวมถึงให้หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยรับตรวจดำเนินการให้ถูกต้อง เกิดผลสัมฤทธิ์ และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินแผ่นดินต่อไป
5.การเปิดเผยข้อมูลเรื่องร้องเรียนระหว่างกันในการปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นเพียงการเปิดเผยข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบด้วยกันเท่านั้น โดยจะมีการจำกัดประเภทของข้อมูลที่เปิดเผยได้และจะต้องสอบถามเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินการเรื่องร้องเรียนเท่านั้น พร้อมทั้งจัดทำแบบฟอร์ม หรือวิธีการติดต่อผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
6.การเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลให้จัดทำศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบข้อมูลระหว่างกันและเป็นช่องทางรับ - ส่งข้อมูลที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อขับเคลื่อนการทำงานให้เห็นเป็นรูปธรรม
"การบูรณาการการทำงาน ร่วมกันของสององค์กรอย่างจริงจัง จะทำให้การทำงานตามอำนาจหน้าที่นั้นชัดเจนและมีประสิทธิภาพสูงสุด และจะได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อดูแลประสานงานระหว่างกันตามแนวทาง ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลเรื่องร้องเรียนระหว่างกันได้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน ขณะเดียวกัน ประชาชนจะได้รับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งจะได้รับการอำนวยความสะดวกหากยื่นร้องเรียนผิดหน่วยงาน เนื่องจากผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินนั้นมีชื่อเรียกคล้ายคลึงกันแต่ปฏิบัติหน้าที่แตกต่างกัน คือ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของเงินงบประมาณแผ่นดิน การใช้เงินแผ่นดิน วินัยการเงินการคลัง ระเบียบพัสดุ การจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นมุ่งเน้นการขจัดหรือระงับความเดือดร้อน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ อำนวยประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้น การประชาสัมพันธ์หน้าที่และอำนาจของทั้งสององค์กรอย่างต่อเนื่องและชัดเจนจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญยิ่ง เพื่อให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐเอง รวมทั้งประชาชนได้รับรู้และเข้าใจในบทบาทของสององค์กรอย่างชัดเจน อันจะเกิดประโยชน์ต่อการเข้าถึงสิทธิของประชาชน ตลอดจนส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินให้มีธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืนสืบไป" พล.อ.วิทวัส กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี