จับแก๊งเมียนมาปลอมตราประทับวีซ่าพาต่างด้าวเข้าไทย ‘บิ๊กโจ๊ก’ระบุเปลี่ยนแบบใหม่ปลอมยากขึ้น
11 มี.ค.62 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปชก.ตร.) แถลงผลการจับกุม นายเมียว ทุย อายุ 40 ปี ชาวเมียนมา โดยจับกุมได้ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใน ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม พร้อมของกลางหนังสือเดินทางชาวเมียนมาปลอม และตราประทับวีซ่าปลอม
สืบเนื่องจาก ศปชก.ตร. ได้รับการประสานจากสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ขอให้ทำการสืบสวนกรณี เมื่อวันที่ 6 มี.ค.62 มีแรงงานชาวเมียนมา 6 คน เข้ามาติดต่อที่สถานทูตเมียนมา เพื่อร้องเรียนในกรณีที่ตนได้ว่าจ้างนายหน้าชาวเมียนมาให้ดำเนินการพาเข้าประเทศไทย พร้อมกับจัดทำหนังสือเดินทาง , จัดทำวีซ่า และจัดทำใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย โดยมีการคิดค่าดำเนินการเป็นจำนวนเงิน 1.2 ล้านจ๊าตเมียนมา หรือราว 25,000 บาท โดยหลังจากนายหน้าคนดังกล่าวได้พาชาวเมียนมาทั้ง 6 คน เดินทางเข้ามาภายในประเทศไทย และได้มอบหนังสือเดินทางซึ่งมีการจัดทำวีซ่าให้ชาวเมียนมาทั้ง 6 คนแล้ว ปรากฏว่า ต่อมาภายหลัง เมื่อชาวเมียนมาทั้ง 6 คน ได้นำหนังสือเดินทางพร้อมวีซ่าดังกล่าวไปสมัครงาน กลับไม่สามารถสมัครเข้าทำงานที่ใดในประเทศไทยได้ จึงได้เข้าพบเจ้าหน้าที่สถานทูตเมียนมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบหนังสือเดินทางและวีซ่าของตน ปรากฏว่ารอยตราประทับวีซ่าในหนังสือเดินทางดังกล่าวนั้นเป็นรอยตราประทับวีซ่าปลอม
เจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร. จึงได้ทำการสืบสวนในกรณีดังกล่าว จนทราบว่านายหน้าชาวเมียนมาคนดังกล่าวพักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าในย่าน ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอศาลจังหวัดสมุทรสาคร ออกหมายค้นสถานที่ดังกล่าวไว้ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ ค. 82/2562 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2562
ต่อมาวันที่ 10 มี.ค.62 เวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร. ได้เข้าทำการตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวตามหมายค้น พบ นายกัป โจว ( MR.KAP KYAW ) อายุ 39 ปี สัญชาติเมียนมาพักอาศัยอยู่ในสถานที่ดังกล่าว และมีลักษณะตรงกับบุคคลซึ่งชาวเมียนมาทั้ง 6 คน ได้ยืนยันไว้กับเจ้าหน้าที่สถานทูตเมียนมาว่าเป็นนายหน้าชาวเมียนมาคนดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร. จึงได้ทำการสืบสวนขยายผล ซึ่งนายกัป โจว ได้รับว่าตนเป็นนายหน้าผู้ติดต่อดำเนินการพาชาวเมียนมาทั้ง 6 คน เข้ามาในประเทศไทย และเป็นนายหน้าติดต่อบุคคลที่รับดำเนินการในจัดทำหนังสือเดินทาง และประทับตราวีซ่าให้กับหนังสือเดินทางของชาวเมียนมาทั้ง 6 คน จริง
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวของ นายกัป โจว มีลักษณะเป็นการหลอกลวงเอาผลประโยชน์กับคนต่างด้าวทั่วไปที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยหลอกลวงให้คนต่างด้าวจัดทำวีซ่าปลอม และพาคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำเข้าลักษณะเป็นบุคคลต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 36 ประกอบมาตรา 12 ( 7 ) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 บก.ตม.3 จึงได้มีหนังสือเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 มี.ค.62 เจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร. ได้รับการประสานจากสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ขอให้ทำการสืบสวนกรณีที่สถานทูตเมียนมาได้มีการตรวจสอบพบ บุคคลมีพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าเป็นนายหน้ารับจัดทำหนังสือเดินทางปลอม และประทับตราวีซ่าปลอม ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกันกับกรณีแรก กล่าวคือ เมื่อประมาณเดือน ก.ย.61 มีแรงงานชาวเมียนมา 3 คน โทรศัพท์ติดต่อมาที่สถานทูตเมียนมาเพื่อร้องเรียนว่าตนได้มีการจ้างนายหน้าชาวเมียนมาให้จัดทำหนังสือเดินทาง และจัดทำวีซ่าให้กับตน แต่หลังจากได้นำหนังสือเดินทางพร้อมวีซ่าดังกล่าวไปติดต่อสมัครงานแล้ว ปรากฏว่าไม่สามารถไปสมัครงานที่ใดได้ โดยทุกที่ที่ตนไปสมัครงานนั้นได้ให้เหตุผลว่าวีซ่าในหนังสือเดินทางนั้น เมื่อตรวจสอบข้อมูลกับตรวจคนเข้าเมืองแล้วไม่พบข้อมูลวีซ่า น่าเชื่อว่าเป็นวีซ่าปลอม จึงไม่มีที่ใดรับสมัครงาน
เจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร. จึงทำการสืบสวนในกรณีดังกล่าวจนทราบว่า นายหน้าคนดังกล่าวนั้น คือ นายเมียว ทุย อายุ 40 ปี สัญชาติเมียนมา ซึ่งพักอาศัย และทำงาน อยู่ที่ห้องเช่าในย่าน ต.อ้อมใหญ่ จ.นครปฐม รับจ้างเป็นนายหน้ารับจัดหาแรงงานจากประเทศเมียนมา เข้ามาทำงานในไทย และรับทำเอกสารเกี่ยวกับหนังสือเดินทางให้แรงงานเมียนมาที่อยู่ในย่านดังกล่าว เจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร. จึงได้รวบรวมรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอศาลจังหวัดนครปฐม ออกหมายค้นสถานที่ดังกล่าวที่เป็นที่พักอาศัยและที่ทำงานของ นายเมียว ทุย ไว้ตามหมายค้นศาลจังหวัดนครปฐม ที่ ค.36/2562 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2562
ต่อมาวันที่ 10 มี.ค.62 เจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร. ได้เข้าทำการตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวตามหมายค้น พบ นายเมียว ทุย พักอาศัยอยู่ในสถานที่ดังกล่าว และได้ตรวจค้น พบหนังสือเดินทางซึ่งมีการประทับตราวีซ่าปลอม , หนังสือเดินทางของคนต่างด้าวที่อยู่เกินเวลาอนุญาต , หนังสือเดินทางชาวเมียนมา ซึ่งยังไม่ประทับตราวีซ่าจำนวนหลายเล่ม และยังได้ตรวจพบตราประทับบริษัท ซึ่งปลอมขึ้นเลียนแบบตราประทับของบริษัทตัวจริงหลายบริษัท
จากการสืบสวนขยายผล นายเมียว ทุย รับว่าเป็นผู้รับดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือเดินทางทั้งหมด และรับว่าตนได้ปลอมตราประทับบริษัท ซึ่งปลอมขึ้นเลียนแบบตราประทับของบริษัทตัวจริงหลายบริษัท อีกทั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ ศปชก.ตร.ได้ตรวจสอบการอยู่ในราชอาณาจักรของ นายเมียว ทุย แล้วพบว่า เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย จึงได้ทำการจับกุม นายเมียว ทุย ดำเนินคดีใน ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี ท้องที่ และตามกำหนดเวลาที่รัฐมนตรีประกาศไว้ ”
ทั้งนี้ ศปชก.ตร. จะได้สืบสวนขยายผลผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวหากพบการกระทำความผิดก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป และขอนำเรียนประชาชนว่าหากพบการกระทำผิดในลักษณะเช่นนี้สามารถแจ้งข้อมูลมาที่สายด่วน ศปอส.ตร. 1155 ,สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 1178 และสายด่วน 191 ตลอด 24 ชั่วโมง
ผบช.สตม. ระบุว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้อนุมัติให้เปลี่ยนตราประทับวีซ่าเป็นแบบใหม่ ซึ่งมีความคมชัดและรายละเอียดของรอยตราเพิ่มขึ้น ยากแก่การปลอม และเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับ พ.ร.บ. ตรวจคนเข้าเมือง ก็จะเริ่มบังคับใช้ในช่วงสิ้นเดือน มี.ค.นี้ มั่นใจว่ากฎหมาย ตม.ฉบับใหม่ จะเพิ่มประสิทธิภาพให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและยกระดับ ตม.ไทยให้เทียบเท่าสากล
# ขอบคุณข้อมูล-ภาพ : พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.อก.สตม.และโฆษก บก.อก.สตม.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี