ผมชอบใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีท่านปัจจุบันอย่างหนึ่งคือ ไม่พูดมาก แต่ลงมือทำให้เห็น ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้างก็ว่ากันไป ในขณะที่หลายๆคน ดีแต่พูด แต่ไม่เคยลงมือทำ ให้เห็นเป็นมรรคผล ประดิษฐ์ถ้อยคำให้ฟังกระแทกใจ ทำราวกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครคิดใครทำมาก่อนเลย แต่แท้จริงแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับเหล้าเก่านำมาบรรจุขวดใหม่ หลอกขายกันไปวันๆ วนเวียนกันอยู่เช่นนั้น สังคมใดที่มีคนประเภทนี้อยู่มากๆ มักจะเป็นสังคมที่ไม่ไปไม่มา อยู่กันไปบ่นกันไป ใครที่เกิดดวงตาเห็นธรรม ก็จะสร้างสรรสิ่งใหม่ๆ สร้างที่ทางของตนเองขึ้นมา ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มไปกับวาทกรรมอำพรางเหล่านั้น หลุดพ้นจากวังวนออกมาได้ แต่จะมีสักกี่คนก็ยังสงสัยอยู่
งานส่งเสริมการเกษตรในประเทศไทยก็เช่นกัน ผ่านวังวนของการทำงานมาหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ส่งเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลประกบติดเกษตรกรในทุกตำบล สร้างระบบการเยี่ยมเยือนขึ้นมา ต่อมาเมื่อปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งอัตรากำลัง เทคโนโลยี รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การทำงานของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ได้ปรับมาทำงานผ่านศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรประจำตำบล มีเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้บริหารจัดการ คาดหมายว่าจะเป็นศูนย์ที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเกษตรกรได้ตามบทบาทหน้าที่ของนักส่งเสริม แต่เมื่อต้องถ่ายโอนภารกิจไปให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์ฯ แห่งนี้ ก็เปลี่ยนมือไปอยู่ในการกำกับดูแลของท้องถิ่นแทน บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่อย่างไรก็ว่ากันไปในแต่ละท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรเมื่อไม่มีเครื่องมือในการทำงาน ได้กลายร่างไปเป็นนักสำมะโนและสงเคราะห์ทางการเกษตรแทน บทบาทงานส่งเสริมการเกษตรที่แท้จริงลดน้อยลงไป ด้วยในทางนโยบายทุกฝ่ายเห็นว่าเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรคือมือทำงานให้ถึงเกษตรกร ทั้งงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และงานของจังหวัด จึงทุ่มลงไปที่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรเพียงคนเดียว อันที่ที่จริงก็น่าเห็นใจ ผมคงได้แค่เป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรจึงเกิดขึ้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ ศพก. เป็นศูนย์ที่เกษตรกรหัวก้าวหน้าเป็นเจ้าของศูนย์เอง โดยมีภาครัฐซึ่งไม่เฉพาะเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรเท่านั้นที่เข้าไปสนับสนุนการทำงาน แต่เป็นการรวมเจ้าหน้าที่จากทุกส่วนงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าไปทำงานร่วมกันตามบทบาท ภารกิจและความรับผิดชอบ เพราะเกษตรกรไม่ได้ทำกิจกรรมเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งในฟาร์ม แต่เกษตรกรทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ครบองค์ประกอบทั้งพืช สัตว์ ประมง ดิน น้ำ บัญชี ความล่มสลายของ ศพก.จึงไม่เกิดขึ้นจากบทบาทของหน่วยราชการ เนื่องจาก ศพก. มีเกษตรกรเป็นเจ้าของ เกษตรกรเหล่านั้นต้องประกอบอาชีพของตนเอง ไม่ว่าจะมีราชการเข้าไปสนับสนุนหรือไม่ เป็นการยืนด้วยขาของตนเอง และเอื้อเฟื้อต่อสังคมในการเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับผู้สนใจ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้มีโอกาสเรียนรู้แลกเปลี่ยนทักษะและเทคโนโลยีระหว่างเกษตรกร และระหว่างเจ้าหน้าที่ในแต่ละส่วนงานด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นสังคมแห่งการช่วยเหลือเอื้ออาทรกันอย่างแท้จริง
ในภาพรวมของการพัฒนาการเกษตร ศพก. ทำหน้าที่เป็นโรงเรียนสอนอาชีพทางการเกษตร สอนให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพ เป็นเกษตรกรที่พร้อมจะเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณธรรมในอนาคต ความเข้มแข็งของ ศพก. จะก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปได้อีก จำเป็นต้องทำอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ การตั้งอยู่เพียง ศพก. เดี่ยวๆ ไม่สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน ในความคิดผมยุทธวิธีแตกแบงก์พันใช้ไม่ได้กับการพัฒนา ศพก. แต่ยุทธวิธีการรวมไม้ซีกเพื่องัดไม้ซุงคือแนวคิดที่ควรจะเป็น หากแต่จะเป็นอย่างไร ติดตามกันในครั้งหน้าครับ
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี